เกี่ยวกับสำนักงาน
ประวัติสำนักงานอัยการจังหวัดตราด
สำนักงานอัยการจังหวัดตราดมีหน่วยงานซึ่งสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด รวม 2 หน่วยงาน คือ สำนักงานอัยการจังหวัดตราด และสำนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตราด

สำนักงานอัยการจังหวัดตราดก่อตั้งขึ้นเมื่อใดนั้นไม่ปรากฏเอกสารแน่ชัด จากการตรวจสอบเอกสารภายในสำนักงานอัยการจังหวัดตราด พบว่า มีหนังสือเรื่องที่ 5 พ.ศ. 2464 เรื่องให้สำรวจพัสดุที่ดินของกองอัยการจังหวัดตราด ปรากฏตามหนังสือ ห้องอัยการมณฑลจันทบุรี ที่ 18/255 ลงวันที่ 23 กันยายน พุทธศักราช 2464 แจ้งความมายังรองอำมาตย์โท หลวงอาทรคดี อัยการจังหวัดตราษ
ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 74 ตอนที่ 46 หน้า 18 ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2500 ได้มีพระราชกฤษฎีกา แบ่งท้องที่ของกรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย ออกเป็นเขต พ.ศ. 2500 โดยที่ มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้นับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็น ต้นไป และมาตรา 3 ให้แบ่งท้องที่ กรมอัยการ กระทรวงมหาดไทย ออกเป็นเขต ดังต่อไปนี้ (2) อัยการเขต 2 มีสำนักงานเขตอยู่ที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา และมีเขตภายในท้องที่ 7 จังหวัด คือ
1. จังหวัดฉะเชิงเทรา
2. จังหวัดนครนายก
3. จังหวัดปราจีนบุรี
4. จังหวัดชลบุรี
5. จังหวัดระยอง
6. จังหวัดตราด
7. จังหวัดจันทบุรี (http://www.ratchakitcha.soc.go.th)
ตามบันทึกข้อความ ที่ทำการอัยการจังหวัดตราด ที่ ตด.22/1655 ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2523 เรื่่องขออนุมัติรื้อรั้วลวดหนามและเพิงจอดรถยนต์เพื่อเตรียมการก่อสร้างที่ ทำการอัยการจังหวัดตราด เนื่องจากที่ทำการอัยการจังหวัดตราด ซึ่งอยู่ทางปลีกขวาด้านหลังของศาลากลางจังหวัด มีสถานที่คับแคบมากกรมอัยการจึงได้อนุมัติงบประมาณให้สร้างที่ทำการอัยการจังหวัดตราด แยกต่างหากจากศาลากลางจังหวัดเป็นจำนวนเงิน 830,000 บาท ซึ่ง นายวิบูลย์ กนกเวชยันต์ อัยการจังหวัดตราด เห็นว่า ที่ดินที่จะทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการอัยการจังหวัดตราด ที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ คือ ที่ดินราชพัสดุด้านขวาของศาลากลางจังหวัด หลังอาคารที่ทำการกองอาสารักษาดินแดน ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 630 ตารางเมตร เพียงพอที่จะสร้างที่ทำการได้สวยงามเคียงข้างกับศาลากลางจังหวัด (ที่ตั้งสำนักงานในปัจจุบัน)
ปัจจุบันสำนักงานอัยการจังหวัดตราด ตั้งอยู่ที่ถนนราษฎร์นิยม ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ได้รับงบประมาณก่อสร้างอาคารจากกรมอัยการเมื่อปีงบประมาณ 2523 และได้ใช้เป็นอาคารที่ทำการจนมาถึงปัจจุบัน
โดยสำนักงานอัยการจังหวัดตราดมี เขตอำนาจครอบคลุมท้องที่ อำเภอเมืองตราด อำเภอเขาสมิง อำเภอแหลมงอบ อำเภอคลองใหญ่ อำเภอบ่อไร่ อำเภอเกาะช้าง และอำเภอเกาะกูด
อำนาจหน้าที่
อำนาจหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด มีดังนี้
(มาตรา ๒๓) สำนักงานอัยการสูงสุด นอกจากมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการและงานวิชากร เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานอัยการแล้ว ให้มีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินการทางกฎหมายรวมตลอดทั้งในการคุ้มครองป้องกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
(๒) ให้คำปรึกษา และตรวจร่างสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐ
(๓) ให้คำปรึกษา และตรวจร่างสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่นิติบุคคล ซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐแต่ได้มีพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น ทั้งนี้ ตามที่เห็นสมควร
(๔) ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่ง หรือคดีปกครองแทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งพนักงานอัยการได้รับดำเนินคดีให้
(๕) ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีร้องขอ เว้นแต่การดำเนินการนั้นจะขัดต่องานในหน้าที่ หรืออาจทำให้ขัดต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ
(๖) ดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกอบรมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาข้ารการฝ่ายอัยการ
(๗) ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน
(๘) ติดต่อและประสานงานกับองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ในอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด
(๙) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ หรือสำนักงานอัยการสูงสุด
ในการตรวจร่างสัญญาตาม (๒) และ (๓) ให้สำนักงานอัยการสูงสุดมีหน้าที่รักษาประโยชน์ของรัฐ ในการนี้สำนักงานอัยการสูงสุดมีหน้าที่รายงานรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐตาม (๒) หรือนิติบุคคลตาม (๓) ที่เป็นคู่สัญญาให้ทราบถึงข้อที่ควรปรับปรุงหรือแก้ไขให้สมบูรณ์ ข้อเสียเปรียบหรือข้อที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
อำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด มีดังนี้
(มาตรา ๒๗) ให้อัยการสูงสุดมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามเป้าหมาย แนวทาง และแผนการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด
(๒) ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการ ปฏิบัติราชการ และบริหารงานบุคคลของสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน และประเพณีปฏิบัติของราชการ
(๓) บริหารจัดการงบประมาณ การเงิน ทรัพย์สิน และการพัสุดของสำนักงานอัยการสูงสุด
ในการปฏิบัติราชการตามวรรคหนึ่ง อัยการสูงสุดอาจมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุด หรือข้าราชการฝ่ายอัยการผู้หนึ่งผู้ใดปฏิบัติหน้าที่แทนได้
ให้อัยการสูงสุดโอยความเห็นชอบของ ก.อ. มีอำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบประมาณ การเงิน ทรัพย์สิน และการพัสดุของสำนักงานอัยการสูงสุด
อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการ มีดังนี้
มาตรา ๑๔ พนักงานอัยการมีอำจานและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) อำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
(๒) ในคดีอาญา มีอำนาจและหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ ตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ
(๓) ในคดีแพ่ง หรือคดีปกครอง มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาคในศาล หรือในกระบวนการทางอนุญาโตตุลากรทั้งปวง กับมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ
(๔) ในคดีแพ่ง คดีปกครอง หรือคดีอาญา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ก็ดี หรือในคดีแพ่งหรือคดีอาญาที่ราษฎรผู้หนี่งผู้ใดถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำตามคำสั่งของเจ้าที่ของรัฐซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเข้าร่วมหรือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งกระทำการในหน้าที่ราชการก็ดี เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับแก้ต่างให้ก็ได้
(๕) ในคดีแพ่ง คดีปกครอง หรือกรณีมีข้อพิพาทที่ต้องดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ที่หน่วยงานของรัฐซึ่งมิได้กล่าวใน (๓) หรือนิติบุคคลซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐ แต่ได้มีพระราชบัญญัติด้วยกันเอง เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับว่าต่างหรือแก้ต่างให้ก็ได้
(๖) ในคดีที่ราษฎรฟ้องเองไม่ได้โดยกฎหมายห้าม เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ได้
(๗) ดำเนินการตามที่เห็นสมควรเกี่ยวกับการบังคับคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษาก ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
(๘) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจำเลย หรือประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
(๙) อำนาจและหน้าที่ตาม ก.อ. ประกาศกำหนดหรือเห็นชอบเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือมติคณะรัฐมนตรี
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ
(๑๑) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด
ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการตามมาตรา ๑๔ (๓) (๔) และ (๕) พนักงานอัยการจะออกคำสั่งเรียกบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำก็ได้ แต่จะเรียกคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาให้ถ้อยคำ โดยคู่ความฝ่ายนั้นไม่ยินยอมไม่ได้
พนักงานอัยการตำแหน่งใดมีอำนาจดำเนินการตามวรรคหนึ่งได้เพียงใดให้เป็นไปตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุด กำหนดโดยความเห็นชอบของ ก.อ.
ภารกิจของอัยการ
ภารกิจของอัยการอาจแบ่งเป็นหลักใหญ่ๆดังนี้
1.งานอำนวยความยุติธรรมทางอาญา
เมื่อมีเหตุละเมิดกระบิลเมือง เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดำเนินการสืบสวน จับกุมสอบสวน แล้วเสนอสำนวนการสอบสวนต่ออัยการ อัยการจะเป็นผู้วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานจากการสอบสวนเพียงพอที่จะพิสูจน์ให้ รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยหรือไม่ว่าผู้ต้องหาเป็นผู้กระทำความผิดตามข้อ กล่าวหา หากเห็นว่าเพียงพออัยการก็จะสั่งฟ้อง หากเห็นว่าการสอบสวนยังไม่พียงพอก็จะสั่งไม่ฟ้อง หรือหากเห็นว่าการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นที่กำหนดให้จนกว่าจะ เพียงพอที่วินิจฉัยได้ว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง เมื่อสั่งฟ้องแล้วก็จะติดตามดำเนินคดีในศาล และเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วหากเห็นว่าคำพิพากษาไม่ถูกต้องไม่เหมาะสมก็จะ อุทธรณ์ฎีกาต่อไปจนถึงที่สุด
ดังนั้น อัยการจึงเป็นองค์กรตรวจสอบถ่วงดุลและคานอำนาจการใช้ดุลพินิจทั้งของพนักงานสอบสวนและศาลเพื่อให้เป็นไปอย่างถูกต้องชอบธรรม
นอกเหนือจากหน้าที่ในการสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาแล้ว อัยการยังมีหน้าที่ในการมีส่วนร่วมสอบสวนคดีที่ผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายหรือ พยานเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งอัยการจะเข้าไปมีส่วนในการอำนวยความยุติธรรมตั้งแต่ในชั้นสอบสวน โดยจะเข้าไปร่วมในการสอบปากคำผู้ต้องหา สอบปากคำพยาน ผู้เสียหายและการให้พยานเด็กทำการชี้ตัวผู้ต้องหาด้วย ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองให้เยาวชนผู้นั้นได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมแก่วัย
หน้าที่อีกประการหนึ่งคือการเป็นหลักประกันความเป็นธรรมในสังคมเกี่ยวกับ คดีวิสามัญมาตรกรรม คือ ในกรณีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติราชการตาม หน้าที่ เช่นกรณีที่คนร้ายถึงแก่ความตายเนื่องจากยิงต่อสู้กับพนักงาน ดังที่เรียกกันเป็นภาษาพูดว่า “ คดีวิสามัญฆาตกรรม ” หรือมีคนตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอัยการเข้าไปร่วม ชันสูตรพลิกศพด้วยเพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนว่าการตายนั้น ต้องไม่เกิดจากการกระทำเกินขอบเขตแห่งกฎหมายของเจ้าหน้าที่นั้นๆ
2.งานด้านคดีอาญาระหว่างประเทศ
(ก) คดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในกรณีมีผู้ก่ออาชญากรรมขึ้นในต่างประเทศแล้วหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักร รัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดกลับคืนไปให้ประเทศนั้นๆดำเนินคดีได้ตามหลัก เกณฑ์แห่งสนธิสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกัน หรือแม้แต่ประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทยแต่มีสัมพันธ ไมตรีทางการทูตต่อกัน ก็สามารถขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้โดยอาศัยหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติต่อกันผ่าน วิถีทางการทูต กล่าวคือประเทศทั้งสองจะถือเป็นหลักการว่าหากประเทศไทยให้ความร่วมมือในการ ดำเนินการเพื่อส่งผู้ร้ายข้ามแดนประเทศผู้ร้องขอนั้นก็ต้องให้ความร่วมมือ เช่นกันหากประเทศผู้ร้องขอ และผู้มีหน้าที่โดยตรงในการนี้ก็คืออัยการ
ในทางกลับกัน กรณีที่บุคคลกระทำความผิดในไทยแล้วหลบหนีไปต่างประเทศ เมื่ออัยการมีคำสั่งฟ้องแล้วก็จะดำเนินการเพื่อขอให้รัฐบาลห้งประเทศนั้นๆ ส่งตัวข้ามแดนมา อัยการแห่งประเทศนั้น ๆ ก็จะนำคดีขึ้นสู่ศาลในทำนองเดียวกัน โดยอัยการไทยจะร่วมประสานงานนและปรึกษาหารือกับอัยการเจ้าของคดีในประเทศ นั้นอย่างใกล้ชิด เพื่ออัยการในประเทศนั้นต้องการและเห็นว่าเพียงพอสำหรับการดำเนินคดีในศาล
(ข) การร่วมมือกับต่างประเทศในการสอบสวนและอื่นๆ นอกจากการส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้แก่กันแล้วนานาประเทศยังมีการช่วยเหลือซึ่ง กันและกันในเรื่องทางอาญากรณีอื่นๆ เพื่อปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศ เช่น ช่วยสอบปากคำพยานและช่วยรวมรวบพยานหลักฐานให้แก่กัน ช่วยดำเนินการค้น ยึดและสืบหาตัวบุคคลให้แก่กัน
พ.ร.บ. ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 กำหนดให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลางทั้งการให้ความช่วยเหลือหรือขอรับ ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งในทางปฏิบัติอัยการจะทำหน้าที่ประสานงานโดยตรงกับผู้ประสานงานกลางของ ต่างประเทศ
3.งานด้านรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
ในการบริหารราชการแผ่นดิน หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจอาจประสบปัญหากฎหมาย อันเป็นอุปสรรคแก่การปฏิบัติงาน หรืออาจนำไปสู่การเป็นคดีความได้ อัยการจึงทำหน้าที่ทนายแผ่นดินด้วยการรับปรึกษาหารือปัญหาข้อกฎหมายเหล่า นั้น เพื่อให้การบริหารราชการของหน่วยงานต่างๆ ลุล่วงไปด้วยดี และแม้จะเกิดเป็นคดีความขึ้นในทางแพ่งไม่ว่าฝ่ายราชการจะเป็นโจทก์หรือจำเลย อัยการก็จะรับดำเนินการว่าต่างแก้ต่างให้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
อนึ่ง ในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน รวมทั้งใช้เงินกู้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมากในการจัดซื้อจัดจ้าง ในกรณีนี้อัยการจะทำหน้าที่ตรวจร่างสัญญาทั้งฝ่ายราชการและเอกชน โดยข้อสำคัญจะต้องไม่ทำให้รัฐเสียเปรียบ
4.งานด้านคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน
การ ทำหน้าที่ทนายแผ่นดินหาได้จำกัดเพียงการเป็นที่ปรึกษากฎหมายและการดำเนินคดี แทนรัฐเท่านั้นแต่อัยการยังรับดำเนินการทางศาลให้แก่ประชาชนที่ไม่สามารถ ดำเนินการเองได้อีกด้วย เช่นจะฟ้องบุพการีของตนเองเพื่อเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู กฎหมายห้ามมิให้ฟ้อง แต่อัยการอาจดำเนินการแทนให้ได้ซึ่งเรียกว่า “คดีอุทลุม” หรือในกรณีที่ประสงค์จะดำเนินคดีแพ่ง แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ อัยการรับดำเนินการให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งรับให้คำปรึกษาหารือด้านกฎหมาย ตลอดจนช่วยทำนิติกรรมสัญยาและประนอมข้อพิพาทให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิด ค่าใช้จ่ายใดๆ เช่นกัน
นอกจากนี้อัยการยังออกไปอบรมกฎหมายที่จำเป็นในชีวิตประจำวันแก่ประชาชน และจัดอบรมอนุญาโตตุลาการหมู่บ้าน เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการอบรมทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคดีความเล็ก ๆ น้อยๆ แก่ประชาชนในท้องถิ่นด้วย
5.งานตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง
ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงผู้ใดมีทรัพย์เพิ่ม ขึ้นผิดปกติ หรือเมื่อถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อกฎหมายและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติไต่สวนแล้วเห็นว่ามีมูล จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นงานตามที่กำหนดโดยรัฐธรรมนูญ
6.งานพิเศษ
นอกเหนือจากหน้าที่ราชการดังกล่าวแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดยังตระหนักในภารกิจที่จะต้องเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมาย แก่ประชาชนในชนบททั่วประเทศและในวาระถมงคลพิเศษสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้เฉลิมพระเกียรติยศ โดยจัดตั้งห้องสมุดกฎหมายสำหรับประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯขึ้นในสำนักงาน อัยการทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นสถานที่ค้นคว้าหาความรู้ในวิชากฎหมายของนัก เรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน รวมทั้งข้าราชการในท้องถิ่นชนบท
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”
พันธกิจ (Missions)
1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงสร้าง (Structure)

วัฒนธรรมองค์กร


ทำเนียบอัยการ
ลำดับที่ | รายชื่อ | ระยะเวลา |
1 | นายถม สุดแสวง | 2505 – 2506 |
2 | นายประสงค์ เล็กสวัสดิ์ | 2506 – 2511 |
3 | นายอุทิศ วีรวัฒน์ | 2512 – 2512 |
4 | นายสมศักดิ์ ทนินซ้อน | 2513 – 2513 |
5 | นายสมนึก ภัทรศิรินทร์ | 2514 – 2516 |
6 | นางสมหมาย ศิริยานนท์ | 2516 – 2518 |
7 | นายอุทัย สุทธิรักษ์ | 2519 – 2519 |
8 | นายสวัสดิ์ ไชยมงคล | 2519 – 2520 |
9 | นายวิวัฒน์ วรสิงห์ | 2521 – 2522 |
10 | นายรณยุทธ ศรียิ่งยง | 2522 – 2523 |
11 | นายวิบูลย์ กนกเวชยันต์ | 2524 – 2525 |
12 | นายคณิต มีรักษา | 2525 – 2526 |
13 | ร.ท.ปรีชา แจ่มจิรารักษ์ | 2526 – 2527 |
14 | นายเดชา ดำรงชีพ | 2527 – 2528 |
15 | นายชูศักดิ์ จันทนวิลัย | 2528 – 2529 |
16 | นายทรงเชาว์ อุณหวัฒน์ | 2529 – 2531 |
17 | นายอดิศร วิจิตนภิศธรรม | 2531 – 2532 |
18 | นายมณเฑียร รัตนปรีดากุล | 2532 – 2534 |
19 | นายสมชาย คูวิจิตรสุวรรณ | 2534 – 2537 |
20 | นางสาวพรทิพย์ ปรียาคณิตพงศ์ | 2537 – 2538 |
21 | นานสุรินทร์ พันธ์ทวี | 2838 – 2539 |
22 | นายเลิศชัย เจริญสมบัติอมร | 2539 – 2541 |
23 | นายเกษม สุวิลบริหาร | 2541 – 2542 |
24 | นายมนัส ประทุมพิทักษ์ | 2542 – 30 เม.ย.2544 |
25 | นายเกียรติพล ภู่จำรูญ | 1 พ.ค.2544 – 6 พ.ค.2545 |
26 | นายพูนศักดิ์ อุทกภาชน์ | 7 พ.ค.2545 – 27 เม.ย.2546 |
27 | นายพยุง เณรพลาย | 28 เม.ย.2546 – 2 พ.ค.2547 |
28 | นายอัศวิน วรธรรมพินิจ | 3 พ.ค.2547 – 3 เม.ย.2548 |
29 | นายสัญญา ไพเราะ | 4 เม.ย.2548 – 30 เม.ย.2549 |
30 | นายคะนอง ทองนพคุณ | 1 พ.ค.2549 – 31 มี.ค.2550 |
31 | นายโอฬาร เกษตรสาระ | 1 เม.ย.2550 – 31 มี.ค.2551 |
32 | นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ | 1 เม.ย.2552 – 31 มี.ค.2552 |
33 | นางจารุวัณณ์ จารุภูมิ | 1 เม.ย.2552 – 31 มี.ค.2553 |
34 | นายบุญชัย ปรีชาพันธ์ | 1 เม.ย.2553 – 1 เม.ย.2555 |
35 | นายสรรพสิทธิ์ เบญจาธิกุล | 2 เม.ย.2555 – 29 มี.ค.2556 |
36 | นายกิตติ เรืองรัตนตรัย | 1 เม.ย.2556 – 31 มี.ค.2558 |
37 | นายจักรวาล แสงแข | 1 เม.ย.2558 – 31 มี.ค.2559 |
38 | นายเศกสรร สกุลรัตน์ | 1 เม.ย.2559 – 31 มี.ค.2560 |
39 | นายสันติ สุขเสถียรวงศ์ | 3 เม.ย. 2560 – 31 มี.ค.2561 |
40 | นายศาโรจน์ มะลิเถา | 1 เม.ย.2561 – 31 มี.ค.2562 |
41 | นายสุรศักดิ์ ศรีสวัสดิ์ | 1 เม.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2564 |
42 | นางสาวสุธิดา กะการดี | 1 เม.ย. 2564 – 31 มี.ค.2565 |
43 | นายทวี คงแสงภักดิ์ | 1 เม.ย. 2565 – 31 มี.ค. 2566 |
44 | นายภูริธิษฐ์ เจริญทรัพย์ | 1 เม.ย. 2566 – ปัจจุบัน |




ข้อมูลสถิติคดีสำนักงานอัยการจังหวัดตราด
เอกสารเผยแพร่
ติดต่อหน่วยงาน
สำนักงานอัยการจังหวัดตราด
ถนนราษฎรนิยม อำเภอเมือง จังหวัดตราด 23000
Tel : 039-511004,039-520200
E-mail : trat@ago.go.th
