ข่าวประชาสัมพันธ์

ข่าวประชาสัมพันธ์

เรื่อง ประกาศเจตนารมณ์ เรื่อง ไม่รับของขวัญและของกำนัลทุกชนิดจากการปฏิบัติหน้าที่ (No Gift Policy) ของสำนักงานอัยการสูงสุด คลิกที่นี่

พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

——————————————-

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๐
เป็นปีที่ ๕๒ ในรัชกาลปัจจุบัน

                  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช  มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ     ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ  ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภาดังต่อไปนี้

                 มาตรา  พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า  “พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ  พ.ศ.๒๕๔๐”

               มาตรา  ๒    พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

               มาตรา  ๓    บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับอื่น  ในส่วนที่บัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้  หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้แทน

               มาตรา  ๔   ในพระราชบัญญัตินี้

           “ ข้อมูลข่าวสาร ” หมายความว่า  สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริง ข้อมูล  หรือสิ่งใดๆ  ไม่ว่าการสื่อความหมายนั้นจะทำได้โดยสภาพของสิ่งนั้นเองหรือโดยผ่านวิธีการใดๆ  และไม่ว่าจะได้จัดทำไว้ในรูปของเอกสาร แฟ้ม รายงาน หนังสือ แผนผัง แผนที่ ภาพวาด ภาพถ่าย ฟิล์ม การบันทึกภาพหรือเสียง การบันทึกโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้สิ่งที่บันทึกไว้ปรากฏได้

                “ ข้อมูลข่าวสารของราชการ ” หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ    ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอกชน

                “ หน่วยงานของรัฐ ” หมายความว่า  ราชการส่วนกลาง  ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น  รัฐวิสาหกิจ  ส่วนราชการสังกัดรัฐสภา  ศาลเฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี องค์กรควบคุมการประกอบวิชาชีพ หน่วยงานอิสระของรัฐและหน่วยงานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง

             “ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ” หมายความว่า ผู้ซึ่งปฏิบัติงานให้แก่หน่วยงานของรัฐ

             “ ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ” หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล เช่น การศึกษา ฐานะการเงิน ประวัติสุขภาพ ประวัติอาชญากรรม หรือประวัติการทำงาน  บรรดาที่มีชื่อของผู้นั้นหรือมีเลขหมายรหัส หรือสิ่งบอกลักษณะอื่นที่ทำให้รู้ตัวผู้นั้นได้  เช่น  ลายพิมพ์นิ้วมือ  แผ่นบันทึกลักษณะเสียงของคนหรือรูปถ่าย และให้หมายความรวมถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของผู้ที่ถึงแก่กรรมแล้วด้วย

             “ คณะกรรมการ ”  หมายความว่า  คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ

             “ คนต่างด้าว ” หมายความว่า  บุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทยและไม่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย  และนิติบุคคลดังต่อไปนี้

             (๑) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่มีทุนเกินกึ่งหนึ่งเป็นของคนต่างด้าว  ใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือ ให้ถือว่าใบหุ้นนั้นคนต่างด้าวเป็นผู้ถือ

             (๒) สมาคมที่มีสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว

             (๓) สมาคมหรือมูลนิธิที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของคนต่างด้าว

             (๔) นิติบุคคลตาม  (๑) (๒) (๓)  หรือนิติบุคคลอื่นใดที่มีผู้จัดการหรือกรรมการเกินกึ่งหนึ่งเป็นคนต่างด้าว

            นิติบุคคลตามวรรคหนึ่ง  ถ้าเข้าไปเป็นผู้จัดการหรือกรรมการ สมาชิก หรือมีทุนในนิติบุคคลอื่น  ให้ถือว่าผู้จัดการหรือกรรมการ  หรือสมาชิก  หรือเจ้าของทุนดังกล่าวเป็นคนต่างด้าว

             มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และมีอำนาจออกกฎกระทรวง  เพื่อปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้กฎกระทรวงนั้น  เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

             มาตรา  ๖  ให้จัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการขึ้นในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับงานวิชาการและธุรการให้แก่คณะกรรมการและคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร  ประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ  และให้คำปรึกษาแก่เอกชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

หมวด  ๑  การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร

_______________

             มาตรา  ๗  หน่วยงานของรัฐต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา

(๑) โครงสร้างและการจัดองค์กรในการดำเนินงาน

(๒) สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน

             (๓) สถานที่ติดต่อเพื่อขอรับข้อมูลข่าวสาร หรือคำแนะนำในการติดต่อกับหน่วยงานของรัฐ

             (๔) กฎ  มติคณะรัฐมนตรี  ข้อบังคับ  คำสั่ง  หนังสือเวียน  ระเบียบ  แบบแผน นโยบาย หรือการตีความ  ทั้งนี้ เฉพาะที่จัดให้มีขึ้นโดยมีสภาพอย่างกฎ เพื่อให้มีผลเป็นการทั่วไปต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง

             (๕) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนดข้อมูลข่าวสารใดที่ได้มีการจัดพิมพ์เพื่อให้แพร่หลายตามจำนวนพอสมควรแล้ว ถ้ามีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาโดยอ้างอิงถึงสิ่งพิมพ์นั้นก็ให้ถือว่าเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติวรรคหนึ่งแล้วให้หน่วยงานของรัฐรวบรวมและจัดให้มีข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไว้เผยแพร่เพื่อขายหรือจำหน่ายจ่ายแจก ณ ที่ทำการของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นตามที่เห็นสมควร

             มาตรา  ๘  ข้อมูลข่าวสารที่ต้องลงพิมพ์ตามมาตรา  ๗ (๔)ถ้ายังไม่ได้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา จะนำมาใช้บังคับในทางที่ไม่เป็นคุณแก่ผู้ใดไม่ได้ เว้นแต่ผู้นั้นจะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารนั้นตามความเป็นจริงมาก่อนแล้วเป็นเวลาพอสมควร

             มาตรา  ๙  ภายใต้บังคับมาตรา  ๑๔  และมาตรา  ๑๕  หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างน้อยดังต่อไปนี้ไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้   ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด

             (๑) ผลการพิจารณาหรือคำวินิจฉัยที่มีผลโดยตรงต่อเอกชน รวมทั้งความเห็นแย้งและคำสั่งที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาวินิจฉัยดังกล่าว

             (๒) นโยบายหรือการตีความที่ไม่เข้าข่ายต้องลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา ตามมาตรา ๗ (๔)

             (๓) แผนงาน โครงการ และงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีที่กำลังดำเนินการ

             (๔) คู่มือหรือคำสั่งเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีผลกระทบถึงสิทธิหน้าที่ของเอกชน

             (๕) สิ่งพิมพ์ที่ได้มีการอ้างอิงถึงตามมาตรา ๗ วรรคสอง

             (๖) สัญญาสัมปทาน สัญญาที่มีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอนหรือสัญญาร่วมทุนกับเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ

             (๗) มติคณะรัฐมนตรี หรือมติคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยกฎหมายหรือโดยมติคณะรัฐมนตรี  ทั้งนี้ ให้ระบุรายชื่อรายงานทางวิชาการ รายงานข้อเท็จจริง หรือข้อมูลข่าวสาร      ที่นำมาใช้ในการพิจารณาไว้ด้วย

             (๘) ข้อมูลข่าวสารอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด

             ข้อมูลข่าวสารที่จัดให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ตามวรรคหนึ่ง  ถ้ามีส่วนที่ต้องห้ามมิให้เปิดเผยตามมาตรา  ๑๔ หรือมาตรา  ๑๕ อยู่ด้วย  ให้ลบหรือตัดทอนหรือทำโดยประการอื่นใดที่ไม่เป็นการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นบุคคลไม่ว่าจะมีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีสิทธิเข้าตรวจดู ขอสำเนาหรือขอสำเนาที่มีคำรับรองถูกต้องของข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งได้  ในกรณีที่สมควรหน่วยงานของรัฐโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ จะวางหลักเกณฑ์เรียกค่าธรรมเนียมในการนั้นก็ได้ ในการนี้ให้คำนึงถึงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยประกอบด้วย  ทั้งนี้ เว้นแต่จะมีกฎหมายเฉพาะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น  คนต่างด้าวจะมีสิทธิตามมาตรานี้เพียงใดให้เป็นไปตามที่กำหนดโดยกฎกระทรวง

             มาตรา  ๑๐  บทบัญญัติมาตรา  ๗  และมาตรา  ๙  ไม่กระทบถึงข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายเฉพาะกำหนดให้มีการเผยแพร่หรือเปิดเผย ด้วยวิธีการอย่างอื่น

             มาตรา  ๑๑  นอกจากข้อมูลข่าวสารของราชการที่ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาแล้ว หรือที่จัดไว้ให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้แล้ว หรือที่มีการจัดให้ประชาชนได้ค้นคว้าตามมาตรา ๒๖ แล้ว ถ้าบุคคลใดขอข้อมูลข่าวสารอื่นใดของราชการและคำขอของผู้นั้นระบุข้อมูลข่าวสารที่ต้องการในลักษณะที่อาจเข้าใจได้ตามควร ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้แก่ผู้ขอภายในเวลาอันสมควร  เว้นแต่ผู้นั้นขอจำนวนมากหรือบ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร

             ข้อมูลข่าวสารของราชการใดมีสภาพที่อาจบุบสลายง่าย  หน่วยงานของรัฐจะขอขยายเวลาในการจัดหาให้หรือจะจัดทำสำเนาให้ในสภาพอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลข่าวสารนั้นก็ได้

             ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐจัดหาให้ตามวรรคหนึ่งต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่แล้วในสภาพที่พร้อมจะให้ได้ มิใช่เป็นการต้องไปจัดทำ วิเคราะห์ จำแนก  รวบรวม  หรือจัดให้มีขี้นใหม่ เว้นแต่เป็นการแปรสภาพเป็นเอกสารจากข้อมูลข่าวสารที่บันทึกไว้ในระบบการบันทึกภาพหรือเสียง  ระบบคอมพิวเตอร์  หรือระบบอื่นใด  ทั้งนี้ ตามที่คณะกรรมการกำหนด  แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐเห็นว่ากรณีที่ขอนั้นมิใช่การแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้า  และเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพสำหรับผู้นั้นหรือเป็นเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่สาธารณะ  หน่วยงานของรัฐจะจัดหาข้อมูลข่าวสารนั้นให้ก็ได้

             บทบัญญัติวรรคสามไม่เป็นการห้ามหน่วยงานของรัฐที่จะจัดให้มีข้อมูลข่าวสารของราชการใดขึ้นใหม่ให้แก่ผู้ร้องขอ หากเป็นการสอดคล้องด้วยอำนาจหน้าที่ตามปกติของหน่วยงานของรัฐนั้นอยู่แล้ว

             ให้นำความในมาตรา  ๙ วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่  มาใช้บังคับแก่การจัดหาข้อมูลข่าวสารให้ตามมาตรานี้ โดยอนุโลม

             มาตรา  ๑๒  ในกรณีที่มีผู้ยื่นคำขอข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา  ๑๑  แม้ว่าข้อมูลข่าวสารที่ขอจะอยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานส่วนกลาง หรือส่วนสาขาของหน่วยงานแห่งนั้นหรือจะอยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นก็ตาม ให้หน่วยงานของรัฐที่รับคำขอให้คำแนะนำ เพื่อไปยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นโดยไม่ชักช้า  ถ้าหน่วยงานของรัฐผู้รับคำขอเห็นว่าข้อมูลข่าวสารที่มีคำขอเป็นข้อมูลข่าวสารที่จัดทำโดยหน่วยงานของรัฐแห่งอื่น และได้ระบุห้ามการเปิดเผยไว้ตามระเบียบที่กำหนดตามมาตรา  ๑๖  ให้ส่งคำขอนั้นให้หน่วยงานของรัฐผู้จัดทำข้อมูลข่าวสารนั้นพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป

            มาตรา  ๑๓ผู้ใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่จัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๗ หรือไม่จัดข้อมูลข่าวสารไว้ให้ประชาชนตรวจดูได้ตามมาตรา ๙ หรือไม่จัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ตนตามมาตรา ๑๑ หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าหรือเห็นว่าตนไม่ได้รับความสะดวกโดยไม่มีเหตุอันสมควร ผู้นั้นมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการ เว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีคำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา  ๑๕  หรือคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านตามมาตรา  ๑๗  หรือคำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา ๒๕

             ในกรณีที่มีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง  คณะกรรมการต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำร้องเรียน  ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นให้ขยายเวลาออกไปได้  แต่ต้องแสดงเหตุผลและรวมเวลาทั้งหมดแล้วต้องไม่เกินหกสิบวัน

หมวด  ๒
 ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผย
 _______________

             มาตรา  ๑๔  ข้อมูลข่าวสารของราชการที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จะเปิดเผยมิได้

             มาตรา  ๑๕  ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ  ประโยชน์สาธารณะ  และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน

             (๑) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ  ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ   และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ

             (๒) การเปิดเผยจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ  หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้  ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการฟ้องคดี  การป้องกัน  การปราบปราม  การทดสอบ  การตรวจสอบ  หรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม

             (๓) ความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด  แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงรายงานทางวิชาการ  รายงานข้อเท็จจริง  หรือข้อมูลข่าวสารที่นำมาใช้ในการทำความเห็นหรือคำแนะนำภายในดังกล่าว

             (๔) การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลหนึ่งบุคคลใด

             (๕) รายงานการแพทย์หรือข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลซึ่งการเปิดเผยจะเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร

             (๖) ข้อมูลข่าวสารของราชการที่มีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผย  หรือข้อมูลข่าวสารที่มีผู้ให้มาโดยไม่ประสงค์ให้ทางราชการนำไปเปิดเผยต่อผู้อื่น

             (๗) กรณีอื่นตามที่กำหนดให้พระราชกฤษฎีกา  คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดก็ได้  แต่ต้องระบุไว้ด้วยว่าที่เปิดเผยไม่ได้เพราะเป็ข้อมูลข่าวสารประเภทใดและเพราะเหตุใด และให้ถือว่าการมีคำสั่งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการเป็นดุลพินิจโดยเฉพาะของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามลำดับสายการบังคับบัญชา  แต่ผู้ขออาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้

             มาตรา  ๑๖ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติว่าข้อมูลข่าวสารของราชการจะเปิดเผยต่อบุคคลใดได้หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขเช่นใด และสมควรมีวิธีรักษามิให้รั่วไหลให้หน่วยงานของรัฐกำหนดวิธีการคุ้มครองข้อมูลข่าวสารนั้น  ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ

             มาตรา  ๑๗  ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเห็นว่า  การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของผู้ใด ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแจ้งให้ผู้นั้นเสนอคำคัดค้านภายในเวลาที่กำหนด แต่ต้องให้เวลาอันสมควรที่ผู้นั้นอาจเสนอคำคัดค้านได้ ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง

             ผู้ที่ได้รับแจ้งตามวรรคหนึ่ง  หรือผู้ที่ทราบว่าการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของตน มีสิทธิคัดค้านการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้โดยทำเป็นหนังสือถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบ

             ในกรณีที่มีการคัดค้าน  เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องพิจารณาคำคัดค้านและแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้คัดค้านทราบโดยไม่ชักช้า  ในกรณีที่มีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้าน เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นมิได้จนกว่าจะล่วงพ้นกำหนดเวลาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๘  หรือจนกว่าคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้มีคำวินิจฉัยให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารนั้นได้  แล้วแต่กรณี

             มาตรา  ๑๘  ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารใดตามมาตรา  ๑๔ หรือมาตรา  ๑๕  หรือมีคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านของผู้มีประโยชน์ได้เสียตามมาตรา ๑๗  ผู้นั้นอาจอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งนั้นโดยยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ

             มาตรา  ๑๙การพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่มีคำสั่งมิให้เปิดเผยนั้นไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาของคณะกรรมการ  คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือศาลก็ได้  จะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยมิให้ข้อมูลข่าวสารนั้นเปิดเผยแก่บุคคลอื่นใดที่ไม่จำเป็นแก่การพิจารณาและในกรณีที่จำเป็นจะพิจารณาลับหลังคู่กรณีหรือคู่ความฝ่ายใดก็ได้

             มาตรา  ๒๐การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารใด แม้จะเข้าข่ายต้องมีความรับผิดชอบตามกฎหมายใด  ให้ถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ต้องรับผิดหากเป็นการกระทำโดยสุจริตในกรณีดังต่อไปนี้

             (๑) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕  ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการโดยถูกต้องตามระเบียบตามมาตรา ๑๖

             (๒) ข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๕  ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมีคำสั่งให้เปิดเผยเป็นการทั่วไปหรือเฉพาะแก่บุคคลใด เพื่อประโยชน์อันสำคัญยิ่งกว่าที่เกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะ  หรือชีวิต  ร่างกาย  สุขภาพ หรือประโยชน์อื่นของบุคคล  และคำสั่งนั้นได้กระทำโดยสมควรแก่เหตุ  ในการนี้จะมีการกำหนดข้อจำกัดหรือเงื่อนไขในการใช้ข้อมูลข่าวสารนั้นตามความเหมาะสมก็ได้

             การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไม่เป็นเหตุให้หน่วยงานของรัฐพ้นจากความรับผิดตามกฎหมายหากจะพึงมีในกรณีดังกล่าว

หมวด  ๓
ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
 ______________

             มาตรา  ๒๑  เพื่อประโยชน์แห่งหมวดนี้ “บุคคล” หมายความว่า บุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย และบุคคลธรรมดาที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

            มาตรา  ๒๒  สำนักข่าวกรองแห่งชาติ  สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง  อาจออกระเบียบโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่มิให้นำบทบัญญัติวรรคหนึ่ง (๓) ของมาตรา ๒๓  มาใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของหน่วยงานดังกล่าวก็ได้

             หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นที่จะกำหนดในกฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งนั้น ต้องเป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งการเปิดเผยประเภทข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา ๒๓ วรรคหนึ่ง (๓)  จะเป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อการดำเนินการของหน่วยงานดังกล่าว

             มาตรา  ๒๓หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลดังต่อไปนี้

             (๑) ต้องจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลเพียงเท่าที่เกี่ยวข้อง และจำเป็นเพื่อการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์เท่านั้น  และยกเลิกการจัดให้มีระบบดังกล่าวเมื่อหมดความจำเป็น

             (๒) พยายามเก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่จะกระทบถึงประโยชน์ได้เสียโดยตรงของบุคคลนั้น

             (๓) จัดให้มีการพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา และตรวจสอบแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอเกี่ยวกับสิ่งดังต่อไปนี้

                      (ก) ประเภทของบุคคลที่มีการเก็บข้อมูลไว้

                      (ข) ประเภทของระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล

                      (ค) ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ

                      (ง) วิธีการขอตรวจดูข้อมูลข่าวสารของเจ้าของข้อมูล

                      (จ) วิธีการขอให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูล

                      (ฉ) แหล่งที่มาของข้อมูล

             (๔)  ตรวจสอบแก้ไขข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลในความรับผิดชอบให้ถูกต้องอยู่เสมอ

             (๕) จัดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่ระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล ตามความเหมาะสม  เพื่อป้องกันมิให้มีการนำไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล

             ในกรณีที่เก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล  หน่วยงานของรัฐต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบล่วงหน้าหรือพร้อมกับการขอข้อมูลถึงวัตถุประสงค์ที่จะนำข้อมูลมาใช้  ลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ  และกรณีที่ขอข้อมูลนั้นเป็นกรณีที่อาจให้ข้อมูลได้โดยความสมัครใจหรือเป็นกรณีมีกฎหมายบังคับ

             หน่วยงานของรัฐต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบในกรณีมีการให้จัดส่งข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลไปยังที่ใดซึ่งจะเป็นผลให้บุคคลทั่วไปทราบข้อมูลข่าวสารนั้นได้  เว้นแต่เป็นไปตามลักษณะการใช้ข้อมูลตามปกติ

             มาตรา  ๒๔หน่วยงานของรัฐจะเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของตนต่อหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นหรือผู้อื่น โดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือของเจ้าของข้อมูลที่ให้ไว้ล่วงหน้าหรือในขณะนั้นมิได้  เว้นแต่เป็นการเปิดเผยดังต่อไปนี้

             (๑) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานของตน เพื่อการนำไปใช้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น

             (๒) เป็นการใช้ข้อมูลตามปกติภายในวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลนั้น

             (๓) ต่อหน่วยงานของรัฐที่ทำงานด้วยการวางแผน หรือการสถิติ หรือสำมะโนต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่ต้องรักษาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลไว้ไม่ให้เปิดเผยต่อไปยังผู้อื่น

             (๔) เป็นการให้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัย โดยไม่ระบุชื่อหรือส่วนที่ทำให้รู้ว่าเป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลใด

             (๕) ต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง   เพื่อการตรวจดูคุณค่าในการเก็บรักษา

             (๖) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อการป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย            การสืบสวน การสอบสวน หรือการฟ้องคดีไม่ว่าเป็นคดีประเภทใดก็ตาม

             (๗) เป็นการให้ซึ่งจำเป็น เพื่อการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของบุคคล

             (๘) ต่อศาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะขอข้อเท็จจริงดังกล่าว

             (๙) กรณีอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา

             การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามวรรคหนึ่ง (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ให้มีการจัดทำบัญชีแสดงการเปิดเผยกำกับไว้กับข้อมูลข่าวสารนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

             มาตรา  ๒๕ภายใต้บังคับมาตรา ๑๔ และมาตรา ๑๕  บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน  และเมื่อบุคคลนั้นมีคำขอเป็นหนังสือ หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องให้บุคคลนั้นหรือผู้กระทำการแทนบุคคลนั้นได้ตรวจดูหรือได้รับสำเนาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น  และให้นำมาตรา ๙ วรรคสอง และวรรคสาม  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

             การเปิดเผยรายงานการแพทย์ที่เกี่ยวกับบุคคลใด  ถ้ากรณีมีเหตุอันควรเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยต่อเฉพาะแพทย์ที่บุคคลนั้นมอบหมายก็ได้

             ถ้าบุคคลใดเห็นว่าข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนส่วนใดไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง    ให้มีสิทธิยื่นคำขอเป็นหนังสือให้หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนนั้นได้ ซึ่งหน่วยงานของรัฐจะต้องพิจารณาคำขอดังกล่าว และแจ้งให้บุคคลนั้นทราบโดยไม่ชักช้า

             ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารให้ตรงตามที่มีคำขอ ให้ผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารภายในสามสิบวันนับแต่วันได้รับแจ้งคำสั่งไม่ยินยอมแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสาร  โดยยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการ  และไม่ว่ากรณีใดๆ ให้เจ้าของข้อมูลมีสิทธิร้องขอให้หน่วยงานของรัฐหมายเหตุคำขอของตนแนบไว้กับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องได้

             ให้บุคคลตามที่กำหนดในกฎกระทรวงมีสิทธิดำเนินการตามมาตรา ๒๓  มาตรา ๒๔ และมาตรานี้แทนผู้เยาว์  คนไร้ความสามารถ  คนเสมือนไร้ความสามารถ  หรือเจ้าของข้อมูลที่ถึงแก่กรรมแล้วก็ได้

หมวด  ๔
เอกสารประวัติศาสตร์
___________

             มาตรา  ๒๖  ข้อมูลข่าวสารของราชการที่หน่วยงานของรัฐไม่ประสงค์จะเก็บรักษาหรือมีอายุครบกำหนดตามวรรคสองนับแต่วันที่เสร็จสิ้นการจัดให้มีข้อมูลข่าวสารนั้น ให้หน่วยงานของรัฐส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรหรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เพื่อคัดเลือกไว้ให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้า

             กำหนดเวลาต้องส่งข้อมูลข่าวสารของราชการตามวรรคหนึ่งให้แยกประเภท   ดังนี้

             (๑) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา ๑๔  เมื่อครบเจ็ดสิบห้าปี

             (๒) ข้อมูลข่าวสารของราชการตามมาตรา ๑๕  เมื่อครบยี่สิบปี 

             กำหนดเวลาตามวรรคสอง  อาจขยายออกไปได้ในกรณีดังต่อไปนี้

             (๑)      หน่วยงานของรัฐยังจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารของราชการไว้เองเพื่อประโยชน์ในการใช้สอย โดยต้องจัดเก็บและจัดให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้าตามที่จะตกลงกับหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร

             (๒)     หน่วยงานของรัฐเห็นว่าข้อมูลข่าวสารนั้นยังไม่ควรเปิดเผย โดยมีคำสั่งขยายเวลากำกับไว้เป็นการเฉพาะราย คำสั่งการขยายเวลานั้นให้กำหนดระยะเวลาไว้ด้วยแต่จะกำหนดเกินคราวละห้าปีไม่ได้

             การตรวจสอบหรือทบทวนมิให้มีการขยายเวลาไม่เปิดเผยจนเกินความจำเป็น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

             บทบัญญัติตามมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารของราชการตามที่คณะรัฐมนตรีออกระเบียบกำหนดให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องทำลายหรืออาจทำลายได้โดยไม่ต้องเก็บรักษา

หมวด  ๕
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
 _____________

             มาตรา  ๒๗  ให้มีคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ    ประกอบด้วยรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน  ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  ปลัดกระทรวงกลาโหม  ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ปลัดกระทรวงการคลัง  ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  ปลัดกระทรวงมหาดไทย  ปลัดกระทรวงพาณิชย์  เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา  เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน  เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร  ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ  ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ  และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกเก้าคนเป็นกรรมการ

             ให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งข้าราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเลขานุการ  และอีกสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ

             มาตรา  ๒๘คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่  ดังต่อไปนี้

             (๑)      สอดส่องดูแล และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้

             (๒)     ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ตามที่ได้รับคำขอ

             (๓)      เสนอแนะในการตราพระราชกฤษฎีกา และการออกกฎกระทรวง หรือระเบียบของคณะรัฐมนตรีตามพระราชบัญญัตินี้

             (๔)      พิจารณาและให้ความเห็นเรื่องร้องเรียนตามมาตรา ๑๓

             (๕)      จัดทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้  เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม แต่อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

             (๖)      ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้

             (๗)     ดำเนินการเรื่องอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมอบหมาย

             มาตรา  ๒๙กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๒๗  มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละสามปีนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้ง  ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งแล้วอาจได้รับแต่งตั้งใหม่ได้

             มาตรา  ๓๐นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ  กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา ๒๗  พ้นจากตำแหน่ง เมื่อ

             (๑)  ตาย

             (๒)  ลาออก

             (๓)  คณะรัฐมนตรีให้ออกเพราะมีความประพฤติเสื่อมเสีย  บกพร่อง  หรือไม่สุจริตต่อหน้าที่  หรือหย่อนความสามารถ

             (๔)  เป็นบุคคลล้มละลาย

             (๕)  เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

             (๖) ได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

             มาตรา  ๓๑การประชุมของคณะกรรมการ ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม

             ให้ประธานกรรมการเป็นประธานในที่ประชุม   ถ้าประธานกรรมการไม่มาประชุมหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้  ให้กรรมการที่มาประชุมเลือกกรรมการคนหนึ่งเป็นประธานในที่ประชุม

             การวินิจฉัยชี้ขาดของที่ประชุมให้ถือเสียงข้างมาก  กรรมการคนหนึ่งให้มีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน  ถ้าคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงชี้ขาด

             มาตรา  ๓๒ให้คณะกรรมการมีอำนาจเรียกให้บุคคลใดมาให้ถ้อยคำหรือให้ส่งวัตถุ  เอกสาร หรือพยานหลักฐานมาประกอบการพิจารณาได้

             มาตรา  ๓๓ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐปฏิเสธว่าไม่มีข้อมูลข่าวสารตามที่มีคำขอไม่ว่าจะเป็นกรณีมาตรา ๑๑  หรือมาตรา ๒๕  ถ้าผู้มีคำขอไม่เชื่อว่าเป็นความจริงและร้องเรียนต่อคณะกรรมการตามมาตรา ๑๓  ให้คณะกรรมการมีอำนาจเข้าดำเนินการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกี่ยวข้องได้ และแจ้งผลการตรวจสอบให้ผู้ร้องเรียนทราบ

             หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องยินยอมให้คณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายเข้าตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองของตนได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารที่เปิดเผยได้หรือไม่ก็ตาม

             มาตรา  ๓๔คณะกรรมการจะแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้และให้นำความในมาตรา ๓๑ มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด  ๖
คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
________________

             มาตรา  ๓๕  ให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่างๆ   ตามความเหมาะสม  ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งตามข้อเสนอของคณะกรรมการ  มีอำนาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งมิให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา ๑๔ หรือมาตรา  ๑๕  หรือคำสั่งไม่รับฟังคำคัดค้านตามมาตรา  ๑๗  และคำสั่งไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามมาตรา  ๒๕

             การแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง  ให้แต่งตั้งตามสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของข้อมูลข่าวสารของราชการ  เช่น  ความมั่นคงของประเทศ  เศรษฐกิจและการคลังของประเทศ  หรือการบังคับใช้กฎหมาย

             มาตรา  ๓๖  คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร คณะหนึ่งๆ ประกอบด้วยบุคคลตามความจำเป็น แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามคน  และให้ข้าราชการที่คณะกรรมการแต่งตั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นเลขานุการและผู้ช่วยเลขานุการ

             ในกรณีพิจารณาเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของหน่วยงานของรัฐแห่งใด กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารซึ่งมาจากหน่วยงานของรัฐแห่งนั้นจะเข้าร่วมพิจารณาด้วยไม่ได้

             กรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร จะเป็นเลขานุการหรือผู้ช่วยเลขานุการไม่ได้

             มาตรา  ๓๗ให้คณะกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์ให้คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร  โดยคำนึงถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารแต่ละสาขาภายในเจ็ดวัน นับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับคำอุทธรณ์

             คำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้เป็นที่สุด และในการมีคำวินิจฉัยจะมีข้อสังเกตเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีใดตามที่เห็นสมควรก็ได้

             ให้นำความในมาตรา  ๑๓  วรรคสอง  มาใช้บังคับแก่การพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอนุโลม

             มาตรา  ๓๘อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ละสาขา  วิธีพิจารณาและวินิจฉัย  และองค์คณะในการพิจารณาและวินิจฉัย  ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

             มาตรา  ๓๙  ให้นำบทบัญญัติมาตรา ๒๙  มาตรา ๓๐  มาตรา ๓๒  และบทกำหนดโทษที่ประกอบกับบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับกับคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารโดยอนุโลม

หมวด  ๗
 บทกำหนดโทษ
 _______________

             มาตรา  ๔๐  ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการที่สั่งตามมาตรา  ๓๒   ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน  หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

             มาตรา  ๔๑ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามข้อจำกัดหรือเงื่อนไขที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนดตามมาตรา ๒๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี  หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ

บทเฉพาะกาล
_____________

             มาตรา  ๔๒  บทบัญญัติมาตรา ๗  มาตรา ๘  และมาตรา ๙  มิให้ใช้บังคับกับข้อมูลข่าวสารของราชการที่เกิดขึ้นก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

             ให้หน่วยงานของรัฐจัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่ง  หรือจัดให้มีข้อมูลข่าวสารตามวรรคหนึ่งไว้เพื่อให้ประชาชนเข้าตรวจดูได้ แล้วแต่กรณี   ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการจะได้กำหนด

             มาตรา  ๔๓ให้ระเบียบว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๗ ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของราชการ ยังคงใช้บังคับต่อไปได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามมาตรา ๑๖ จะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

                                                                                               พลเอก ชวลิต  ยงใจยุทธ
                                                                                              นายกรัฐมนตรี

             หมายเหตุ :-  เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ ในระบอบประชาธิปไตย  การให้ประชาชนมีโอกาสกว้างขวางในการได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ของรัฐเป็นสิ่งจำเป็น  เพื่อที่ประชาชนจะสามารถแสดงความคิดเห็นและใช้สิทธิทางการเมืองได้โดยถูกต้องกับความเป็นจริง  อันเป็นการส่งเสริมให้มีความเป็นรัฐบาลโดยประชาชนมากยิ่งขึ้น  สมควรกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิได้รู้ข้อมูลข่าวสารของราชการ  โดยมีข้อยกเว้นอันไม่ต้องเปิดเผยที่แจ้งชัดและจำกัดเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่หากเปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติหรือต่อประโยชน์ที่สำคัญของเอกชน   ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มั่นคงและจะยังผลให้ประชาชนมีโอกาสรู้ถึงสิทธิหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่  เพื่อที่จะปกปักรักษาประโยชน์ของตนได้อีกประการหนึ่งด้วย  ประกอบกับสมควรคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลข่าวสารของราชการไปพร้อมกัน  จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

กิจกรรมเนื่องในวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์

วันที่ 6 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 07.00 น. นายเผด็จ ชุณหโอภาส อัยการอาวุโส ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีถวายราชสักการะ ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวัน 131 ปี องค์กรอัยการ

วันที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 08.45 น. ข้าราชการฝ่ายอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ร่วมกิจกรรม “พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เนื่องในวัน 131 ปี องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน” กิจกรรม “ทำบุญโรงทานมีแล้วแบ่งปัน” กิจกรรม”เผยแพร่ประวัติศาสตร์การก่อตั้ง ตลอดจนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรอัยการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แก่บุคลากรและบุคคลทั่วไป” และกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ ประจำปี 2567 ร่วมสรงน้ำพระ และรดน้ำขอพรคณะผู้บริหารและอัยการอาวุโส ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารสำนักงานอัยการภาค 3 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ประจำปี 2567

วันที่ 24 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 06.30 น. นายบัณฑิต สิรยานนท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานภาค 3 ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการเข้าร่วมพิธีสงฆ์ พิธีวางพวงมาลา พิธีมอบผ้าสไบและเปลี่ยนผ้าสไบอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และพิธีบวงสรวงสักการะ ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมของสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 เนื่องในวันขึ้นปีใหม่

วันที่ 11 มกราคม 2567 เวลาประมาณ 08.00 น. ข้าราชการฝ่ายอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ร่วมทำบุญถวายภัตตาหารเช้าและสังฆทาน ณ วัดบึงแสนสุข ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพบอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ

วันที่ 5 ธันวาคม 2566 เวลาประมาณ 06.00 น. นางฐาณภัค สวงโท อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 เวลาประมาณ 06.30 น. นายวีระพงษ์ โล่นวรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ พระวิหารหลวง วัดพระนารายณ์มหาราช วรวิหาร ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันปิยมหาราช ประจำปี 2566

วันที่ 23 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 06.30 น. นายบัณฑิต สิรยานนท์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานภาค 3 ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2566

วันที่ 13 ตุลาคม 2566 เวลาประมาณ 06.00 น. นายชาญชัย โชติเวทธำรง อัยการอาวุโส ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการได้เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และเวลา 08.00 น. ได้เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย 28 กันยายน (Thai National Flag Day) ประจำปี 2566

วันที่ 28 กันยายน 2566 เวลา 08.00 น. ข้าราชการฝ่ายอัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 เข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย ภายในอาคารสำนักงานอัยการภาค 3

“อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ได้เดินทางตรวจราชการสำนักงานอัยการภายในเขตท้องที่สำนักงานอัยการภาค 3 ประจำปีงบประมาณ 2566 (ครั้งที่ 2 )”

วันที่ 16 – 18 สิงหาคม 2566 นายสิทธิพงษ์ จันทนพงศ์วานิช อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการสำนักงานในเขตท้องที่ภาค 3 ณ สำนักงานอัยการจังหวัดรัตนบุรี สำนักงานอัยการจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงสุรินทร์ สำนักงานอัยการจังหวัดบุรีรัมย์ สำนักงานอัยการจังหวัดนางรอง

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2566

วันที่ 12 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. นายประสิทธิ พรหมณะ อัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค 3 ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่มราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ได้เดินทางออกตรวจราชการสำนักงานอัยการภายในเขตท้องที่สำนักงานอัยการภาค 3 ประจำปีงบประมาณ 2566 (ครั้งที่ 2)

วันที่ 8 – 11 สิงหาคม 2566 เวลา 08.30 น. นายสิทธิพงษ์ จันทนพงศ์วานิช อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 พรัอมคณะ ได้เดินทางไปตรวจราชการสำนักงานในเขตท้องที่ภาค 3 ณ สำนักงานอัยการจังหวัดยโสธร สำนักงานอัยการจังหวัดอำนาจเจริญ สำนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานอัยการจังหวัดเดชอุดม สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงอุบลราชธานี สำนักงานอัยการจังหวัดกันทรลักษ์ สำนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษ

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2566

วันที่ 28 กรกฎาคม 2566 เวลาประมาณ 18.00 น. นายเผด็จ ชุณหโอภาส อัยการอาวุโส ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ ได้เข้าร่วมพิธีถวายเครื่องสักการะและวางพานพุ่มราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 3 มิถุนายน 2566″

วันที่ 3 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 06.00 น. นายวีระพงษ์ โล่นวรัตน์ อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตร ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และเวลา 17.00 น. ได้เข้าร่วมพิธีถวายเครื่องสักการะและวางพานพุ่มราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

“อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ได้เดินทางออกตรวจราชการสำนักงานอัยการภายในเขตท้องที่สำนักงานอัยการภาค 3 ประจำปีงบประมาณ 2566 “

วันที่ 14 – 16 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.30 น. นายสิทธิพงษ์ จันทนพงศ์วานิช อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 พร้อมคณะ ได้เดินทางไปมาตรวจราชการสำนักงานอัยการในเขตท้องที่ภาค 3
ณ สำนักงานอัยการจังหวัดกันทรลักษณ์ สำนักงานอัยการจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี สำนักงานอัยการจังหวัดเดชอุดม สำนักงานอัยการจังหวัดเดชอุดม และสำนักงานอัยการจังหวัดยโสธร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติราชการของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยรับการตรวจ”

“ผู้ตรวจการอัยการ พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจราชการอัยการในสำนักงานอัยการทุกสำนักงานในเขตท้องที่ภาค 3 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 “

“วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 08.30 น. นายวิโรจน์ ชัชวาลวงศ์ ผู้ตรวจการอัยการ พร้อมคณะ ได้เดินทางมาตรวจราชการอัยการในสำนักงานอัยการทุกสำนักงานในเขตท้องที่ภาค 3 ณ ตึกสำนักงานอัยการภาค 3 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติราชการของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยรับการตรวจ”

“ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล และลงนามถวายพระพร แด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา”

เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เวลา 09.30 น. นายสิทธิพงษ์ จันทนพงศ์วานิช อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ เข้าร่วมร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายพระพรชัยมงคล และลงนามถวายพระพร แด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา
ณ อาคารสำนักงานอัยการภาค ๓ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ

วันที่ 5 ธันวาคม 2565 เวลาประมาณ 06.30 น. นางสาวฐาณภัค สวงโท อัยการผู้เชี่ยวชาญ ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ เข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ณ ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และหอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

“กิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

วันที่ 23 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 06.30 น. นางสาวฐาณภัค สวงโท อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

“สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ร่วมประชุมรับทราบนโยบายการปฏิบัติงาน”

สำนักงานคดีแรงงานภาค 3  เข้าร่วมประชุมรับทราบนโยบายการปฏิบัติงาน  โดยท่านอธิบดีและท่านอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งและท่านอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงาน ณ ห้องประชุมเล็ก  อาคารสำนักงานอัยการภาค 3  ชั้น 4

“วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร”

วันที่ 13 ตุลาคม 2565 เวลาประมาณ 18.00 น. นายประสิทธิ พรหมณะ อัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค 3 ปฏิบัติหน้าที่อัยการสำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา) พร้อมด้วยข้าราชการฝ่ายอัยการ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ หอประชุมเปรมติณสูลานนท์ ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

กิจกรรมจิตอาสา

ข้าราชการฝ่ายอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค ๓ ร่วมกิจกรรมจิตอาสา “รู้รักสามัคคี รักษ์ส่ิงแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิต” เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ และเนื่องในวันรู้รักสามัคคี ๔ ธันวาคม ๒๕๖๔
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลโดยจัดกิจกรรมปรับปรุงภูมิทัศน์สถานที่ทำงาน ณ บริเวณอาคารสำนักงานอัยการภาค ๓

เกี่ยวกับสำนักงาน

ประวัติความเป็นมา

                   สำนักงานคดีแรงงานเขต ๓ มีความเป็นมาเนื่องมาจาก กฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการสำนักงานอัยการสูงสุด (ฉบับที่๒)พ.ศ.๒๕๔๙ ฉบับลงวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ข้อ๑๒ ให้ยกเลิกความใน (๑๓) ของข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด  พ.ศ. ๒๕๔๖ และกำหนดให้มีสำนักงานคดีแรงงานเขตให้มีอำนาจหน้าที่

                   ซึ่งต่อมาสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุดที่ ๕๒๑/๒๕๔๙ เรื่องการดำเนินการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานอัยการสูงสุด โดยในข้อ ๓.๓ ของคำสั่งดังกล่าวให้ย้าย สำนักงานคดีแพ่งเขต ๑-๙ซึ่งสังกัดสำนักงานอัยการเขต ๑-๙ ให้ไปสังกัดสำนักงานคดีแรงงานเขต ๑-๙ ตามลำดับ และตามคำสั่งในข้อ ๑๓ ให้บรรดาสำนวนคดีแพ่งทั้งปวงที่อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๑-๙ สำนักงานอัยการเขต ๑-๙ ก่อนวันที่  ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ ซึ่งเป็นวันที่คำสั่งนี้มีผลบังคับให้โอนสำนวนคดีและความรับผิดชอบดังกล่าวไปยังสำนักงานคดีแรงงานเขต ๑-๙ แล้วแต่กรณีตามลำดับ

                   ดังนั้น คดีแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๓  เดิมทั้งหมดจึงมาอยู่ในเขตอำนาจของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๓ ซึ่งอยู่ในสังกัดสำนักงานคดีแรงงานเขต ๓ ซึ่งอยู่ในสังกัดสำนักงานคดีแรงงานเขต ๓ นับตั้งแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ ทั้งหมด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานเขต ๓ ก่อกำเนิดเกิดขึ้นตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานอัยการสูงสุด (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา  เมื่อวันที่  ๒๙  กันยายน  ๒๕๔๙ ทั้งนี้  เนื่องมาจากได้มีพระราชกฤษฎา กำหนด จำนวน ที่ตั้ง เขตศาลและวันเปิดทำการของศาลแรงงานภาค (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๓ กำหนดให้มีศาลแรงงานภาค  ๓  จำนวน  ๙  ภาค

                  โดยให้ศาลแรงงานภาค ๓ มีเขตอำนาจศาลในนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ โดยศาลแรงงานภาค ๓ ตั้งอยู่เลขที่ ๔๒/๒ อาคารศาลแขวงนครราชสีมา ถนนราชนิกูล ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ๓๐๐๐๐ และศาลได้เปิดทำการเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๘โดยในระยะแรกเนื่องจากศาลมีเขตอำนาจศาลอยู่หลายจังหวัดภายในสำนักงานอัยการเขต ๓ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งให้อัยการจังหวัดประจกรม (อจ.สคช.) ประจำศาลที่อยู่ในเขตจังหวัดนั้นดำเนินคดีแรงงานในจังหวัดนั้น ๆ ไปก่อน ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งแต่งตั้งสำนักงานคดีแรงงานภาค ๓ ขึ้นมาโดยมีนายพรชัย ดีเสมอ เป็นอธิบดีอัยการฝ่ายคดีแรงงานเขต ๓ นายจรุงเกียรติ ภาษีผล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีแรงงานเขต ๓ นายกิตินันท์ เจริญสุข  เป็นอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๓   นางอรอนงค์ วัฒนินธ์วงศ์  เป็นอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานเขต ๓ ซึ่งเป็นพนักงานอัยการชุดแรกที่เข้ามาดำเนินการในสำนักงานคดีแรงงานเขต ๓

อำนาจหน้าที่

ตามประกาศคณะกรรมการอัยการ  เรื่อง  การแบ่งหน่วยงานและการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของหน่วยงานภายในของสำนักงานอัยการสูงสุด  พ.ศ. ๒๕๕๔  กำหนดให้มีการแบ่งหน่วยงานราชการภายในของสำนักงานคดีแรงงานภาค  และกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ ดังนี้

การแบ่งส่วนราชการ
สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 (นครราชสีมา)  มีส่วนราชการในสังกัด  ดังนี้
1.  สำนักงานอำนวยการ
2.  สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค
3.  สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานภาค

อำนาจหน้าที่
สำนักงานคดีแรงงานมีอำนาจหน้าที่
          1. รับผิดชอบการดำเนินคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด  ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานภาค  ทั้งนี้  ตามกฎหมาย  ระเบียบ  ข้อบังคับ  ประกาศ  และคำสั่งว่าด้วยการนั้น
          2. รับผิดชอบการดำเนินคดีแพ่งทั้งปวงตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด  ซึ่งอยู่ภายในเขตท้องที่ของสำนักงานอัยการภาค  ทั้งนี้  ตามกฎหมาย  ระเบียบ  ข้อกำหนด  ประกาศ  และคำสั่งของสำนักงานอัยการสูงสุด
          3. ปฏิบัติงานร่วมกันหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย

ให้ส่วนราชการในสำนักงานคดีแรงงาน  มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
          1.สำนักอำนวยการ  มีอำนาจหน้าที่
                    (1)รับผิดชอบงานธุรการ  งานสารบรรณคดี  งานบริหารงานบุคคล  งานเลขานุการ  นักบริหาร  งานงบประมาณ  งานการเงินและบัญชี  และงานเกี่ยวกับอาคารสถานที่ พัสดุ  และ  ยานพาหนะของสำนักงานคดีแรงงานภาค 3
                    (2)ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย

          2.สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งภาค 3  มีอำนาจหน้าที่
                    (1)รับผิดชอบงานดำเนินคดีแพ่งทั้งปวงซึ่งอยู่ภายในเขตท้องที่ของสำนักงานอัยการเขต ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด
                    (2)ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย

          3.สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานภาค 3  มีอำนาจหน้าที่
                    (1)รับผิดชอบการดำเนินคดีแรงงานของสำนักงานคดีแรงงานเขตตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด
                   (2)ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย

สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 มีหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ ในการดำเนินคดี  คือ
                   สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานภาค 3  รับผิดชอบดำเนินคดีในเขตอำนาจศาลแรงงานภาค3เขตพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ศรีสะเกษ อุบลราชธานี  ยโสธร  และอำนาจเจริญ

วิสัยทัศน์ (Vision)

“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”

พันธกิจ (Missions)

1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

โครงสร้าง (Structure)
วัฒนธรรมองค์กร

บุคลากร

ข้าราชการอัยการ


ข้าราชการธุรการ

จ้างเหมาบริการ

ทำเนียบผู้บริหาร
สำนักงานคดีแรงงานภาค ๓

ลำดับ ชื่อ-นามสกุลระยะเวลา
๑.นายพรชัย       ดีเสมอ๑๖  ตุลาคม  ๒๕๔๙     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๕๒
๒.นายชุติชัย       สาขากร  ๑  ตุลาคม  ๒๕๕๒     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๕๔
๓.ร.ต.ท.ธานี      วุธยากร        ๑ ตุลาคม  ๒๕๕๔     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๕๖ 
 ๔.นายพิทักษ์       อบสุวรรณ๑๔  ตุลาคม  ๒๕๕๖     –  ๓๐  กันยายน  ๒๕๕๗
 ๕. นายสุทธิ       สังสรรค์อนันต์   ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๕๘
 ๖.นายนิวิษฐ์       ประสิทธิ์วิเศษ  ๑  ตุลาคม  ๒๕๕๘     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๖๐
๗.นายเกียรติพล  ภู่จำรูญ  ๑  ตุลาคม  ๒๕๖๐     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๖๑ 
๘.นายธีรเดช       อินใหญ่  ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑     –  ๓๐ กันยายน  ๒๕๖๒
๙.นายสัญญา       ไพเราะ  ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒     –  ๓๑ มีนาคม  ๒๕๖๓
๑๐.นายอุทัย       สินมา๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๓     –  ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
๑๑.นายธัญญนิตย์ เศรษฐบุตร๑ ตุลาคม ๒๕๖๓     –  ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔
๑๒.นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค๑ ตุลาคม ๒๕๖๔     –  ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕
๑๓.นายสิทธิพงษ์ จันทนพงศ์วานิช๑ ตุลาคม ๒๕๖๕     –  ๓๐ กันยายน ๒๕๖
๑๔.นางเกวลี จนดาสมบัติเจริญ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖     –  ปัจจุบัน

สถิติปริมาณคดี สำนักงานคดีแรงงานภาค 3

ลำดับประเภทสำนวนพ.ศ. 2556พ.ศ. 2557พ.ศ. 2558พ.ศ. 2559พ.ศ. 2560พ.ศ. 2561พ.ศ. 2562พ.ศ. 2563พ.ศ. 2564พ.ศ. 2565พ.ศ. 2566
1คดีแพ่ง97138262245330373380339610377311
2คดีแรงงาน115191318201933474137
3สำนวนหารือ52154111

ขั้นตอนการดำเนินคดีแรงงาน

ติดต่อหน่วยงาน

 สำนักงานคดีแรงงานภาค  ๓ 
ตั้งอยู่ที่สำนักงานอัยการภาค  ๓  ชั้น  ๓         
ถนนราชดำเนิน  ตำบลในเมือง  อำเภอเมือง
จังหวัดนครราชสีมา  ๓๐๐๐๐
โทร. ๐๔๔-๒๔๘๑๕๗ 
โทรสาร. ๐๔๔-๒๔๘๑๕๐ ต่อ  ๒๐๑,๒๐๒
E-mail : korat-labor@ago.go.th