วันพุธที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๗ พ.ต.ต.วัฒนา บุญเหิน อัยการจังหวัดทองผาภูมิ พร้อมคณะ เข้าร่วมโครงการ “๑๓๑ ปี องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน” ณ สำนักงานอัยการภาค ๗ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
อัยการจังหวัดทองผาภูมิและคณะ เข้าร่วมกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๗ อัยการจังหวัดทองผาภูมิและคณะ เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสพิเศษ ปีแห่งการศวรรคตครบ ๗ ปี หรือ “สัตตมวรรษ” และเข้าร่วมพิธีน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ และถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ ที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ
อัยการจังหวัดทองผาภูมิและคณะ เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล พิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล พิธีถวายเครื่องราชสักการะและวางพานพุ่ม พิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ และเข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ ๙๑ ต้น กิจกรรมจิตอาสาพัฒนา บำรุงรักษา ทำความสะอาดบริเวณสวนฉลิมพระเกียรติ ๗๒ พรรษาบรมราชินีนาถ และกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำบริเวณป้อมท้ายน้ำบ้านชงโค จำนวน ๑๐๐,๐๙๑ ตัว ณ เขื่อนวชิราลงกรณ เนื่องในโอกาส วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๖
อัยการจังหวัดทองผาภูมิและคณะ เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และความสามัคคีของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ประกอบด้วย พิธีทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศล พิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ
เกี่ยวกับสำนักงาน
ประวัติสำนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ
จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ประมาณ ๑๙,๔๘๖ ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น ๑๐ อำเภอ ๒ กิ่งอำเภอ สถานีตำรวจ ๒๐ แห่ง ภูมิประเทศส่วนใหญ่ เป็นป่าเขาและที่ราบสูง โดยเฉพาะอำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี อยู่ชายแดนติดต่อประเทศพม่า ห่างไกลจากตังจังหวัด ๑๔๖ และ ๒๒๐ กิโลเมตร ตามลำดับ ประชาชนในสองอำเภอดังกล่าวมีความยากลำบากใน การเดินทางติดต่อราชการที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี ศาลจังหวัดกาญจนบุรี จึงมีคำสั่งกำหนดให้มีการนั่งพิจารณา ณ. ศาลจังหวัดกาญจนบุรี (ทองผาภูมิ) เพื่อให้ผู้พิพากษา นายเดียว พิจารณาคดีอาญา ที่มีอัตราโทษอย่างสูงจำคุกไม่เกินเจ็ดปี และการไต่ส่วนชันสูตรพลิกศพ กรณีความตายเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฎิบัติราชการตามหน้าที่ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าเป็นปฎิบัติราชการตามหน้าที่ ที่เกิดในท้องที่อำเภอทองผาภูมิและสังขละบุรี และพิจารณาคดีแพ่ง ที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินหนึ่งแสนบาท ซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนา หรือทรัพย์ตั้งอยู่หรือมูลคดีเกิดในท้องที่สองอำเภอดังกล่าว โดยเริ่มนั่งพิจารณาคดีที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี (ทองผาภูมิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ สำนักงานอัยการสูงสุดจึงแต่งตั้งพนักงานอัยการ ให้ปฎิบัติหน้าที่อัยการจังหวัด และรองอัยการจังหวัด สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี (ทองผาภูมิ) ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ เป็นต้นมา
ในระยะแรก สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี(ทองผาภูมิ) ได้รับความอนุเคราะห์จากสำนักงานเกษตรอำเภอทองผาภูมิ ให้ใช้พื้นที่บางส่วนประมาณ ๗๐ ตารางเมตร เป็นที่ปฎิบัติงานชั่วคราวของพนักงานอัยการ ๒ นาย และเจ้าหน้าที่ธุรการ สำนักงานอัยการจังหวัดช่วยราชการ ๒ นาย การดำเนินคดีส่วนใหญ่ เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับ กฎหมายป่าไม้, กฎหมายคนเข้าเมือง, การพนัน, อาวุธปืนฯ, ยาเสพติดให้โทษ (กัญชา) และอื่นๆ ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๓๓ ได้รับการสนับสนุนจากนายอำเภอทองผาภูมิ (นายประหยัด เวสสบุตร) จัดสรรพื้นที่จำนวน ๑ ไร่ ติดกับสำนักงานเกษตรอำเภอทางทิศเหนือ สร้างอาคารสำนักงาน ซึ่งได้รับงบประมาณในปี ๒๕๓๓ ก่อสร้างอาคารสองชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๓๕๐ ตารางเมตร พร้อมเสาธง และรั้วล้อมรอบ ในวงเงิน ๕,๙๐๐,๐๐๐ บาท (ห้าล้านเก้าแสนบาท) และจัดสรรพื้นที่ทางด้านหลังศูนย์ราชการให้ปลูกสร้างบ้านพักข้าราชการอีก ๑ ไร่ การก่อสร้างอาคารสำนักงานแล้วเสร็จ และย้ายจากสถานที่ชั่วคราว เข้าไปอยู่ในอาคารสำนักงานปัจจุบัน เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๕ ปัจจุบันมีข้าราชการฝ่ายอัยการ ๕ คน และข้าราชการฝ่ายธุรการ ๑๒ คน จ้างเหมาบริการ ๒ คน รวมบุคลากรในสำนักงานทั้งสิ้น ๑๙ คน และมีอำนาจดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งในอัตราโทษและทุนทรัพย์ที่อยู่ในการพิจารณาของผู้พิพากษานายเดียวเหมือนเดิม แต่การอำนวยความยุติธรรมในงานของพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ธุรการ นอกจากจะดำเนินคดีอาญาและคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว ยังมีสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับ ซึ่งช่วยให้คำแนะนำให้คำปรึกษา แก้ไขปัญหากฎหมายแก่ประชาชนในเขตพื้นที่อำเภอทองผาภูมิและอำเภอสังขละบุรี ซึ่งประชาชนผู้ติดต่อขอความช่วยเหลือไม่ต้องเดินทางไปถึง ตัวจังหวัดกาญจนบุรี นับว่า เป็นสถานที่อำนวยความยุติธรรมและบริการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สมความ มุ่งหมายของทางราชการทุกประการ
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๖ เปลี่ยน การพิจารณาคดีเป็น การพิจารณาคดีเต็มรูปแบบ ยกเว้นคดีที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน จะต้องนำส่งสำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี(แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว)
ต่อมาวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ สำนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรี(ทองผาภูมิ) ได้เปลี่ยนเป็น สำนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ รู้จักทองผาภูมิ…….
“ทองผาภูมิ” คือชื่อของอำเภอหนึ่งในจังหวัดที่เรามักจะเรียกขานกันสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า “เมืองกาญจน์”
สำหรับคอนิยมไพรเพียงแค่เอ่ยชื่ออำเภอทองผาภูมิขึ้นมาก็ใจระทึกแล้ว เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่ามีผืนป่าที่สมบูรณ์อุดมไปด้วยความหลากหลายทางชีวภาพให้ศึกษา ในขณะที่บางคนเมื่อได้ยินชื่ออำเภอทองผาภูมิแล้วอาจจะแค่มองผ่านเลยไป ด้วยเข้าใจว่าไม่มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจเหมือนกับอำเภออื่น ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรีเพราะไปเมืองกาญจน์ทีไรก็ต้องไปเที่ยวแบบเอาความรู้ทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ บ่อยครั้ง ที่ใครไปใครมาก็มักจะแวะเที่ยวชมกันที่ตัวเมืองหรือไม่ก็เลยไปไหว้หลวงพ่ออุตตะมะ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วทองผาภูมิเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลเกินกว่าที่ใครหลายคนคาดเดาเอาไว้มากมาย……
จะว่าไปแล้วทองผาภูมิเป็นเมืองหนึ่งที่มากด้วยธรรมชาติอันงดงาม แวดล้อมไปด้วยขุนเขาที่สลับซับซ้อนและสูงเสียดฟ้า ซุกซ่อนไว้ด้วยเถื่อนถ้ำที่สุดแสนจะอำไพ แซมสลับด้วยป่าดงพงไม้ที่มีลำต้นใหญ่สูงชะลูดแผ่กิ่งก้านร่มครึ้มและผลิใบเขียวชอุ่ม มีธารน้ำไหลเซาะจากเทือกภูสูงผ่านป่าทึบแล้วรวมตัวเป็นน้ำตกสวยใสกระจายฟองขาวสะอาดตาโปรยสายลงมาดุจม่านแห่งสายน้ำจาก ผาสูงกลายเป็นสายธารใหญ่ไหลหล่อเลี้ยงทุกสรรพชีวิตบนผืนโลก สร้างความฉ่ำเย็น ยังความชุ่มชื้นผ่านแดนดิน หากพิจารณากันในด้านประวัติศาสตร์ อำเภอทองผาภูมินับว่าเป็นหัวเมืองเก่า โดยในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงเล็งเห็นว่ามีชุมชนที่หนาแน่นบริเวณแม่น้ำแควน้อย จึงได้ตั้งหัวเมืองขึ้น ได้แก่ เมืองสังขละบุรี เมืองทองผาภูมิ เมืองไทรโยค ทางแม่น้ำแควใหญ่ ได้แก่ เมืองศรีสวัสดิ์ เมืองท่ากระดาน เพื่อให้เกิดยุทธศาสตร์ด้านการข่าวให้แพร่ ไปถึงประเทศพม่าว่าไทยมีกำลังเข้มแข็งพม่าจะได้ไม่กล้ารุกรานและยังเป็นเมืองกันชนคอยส่งข่าวข้าศึกที่จะมารุกรานให้เมืองหลวงทราบ ต่อมาในรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์ ทรงปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเสียใหม่ เมืองหน้าด่านอย่างเมืองทองผาภูมิจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “อำเภอสังขละบุรี” เมื่อประมาณ รศ. ๑๒๐ (พ.ศ. ๒๔๔๔) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแควน้อย (แควไทรโยค) ที่บ้านท่าขนุน มีเจ้าเมืองปกครองขึ้นตรงต่อกรุงรัตนโกสินทร์ และด้วยความที่เมืองนี้ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่เช่นเมืองอื่น ๆ จึงไม่มีกำแพงเมือง หากแต่เป็นเพียงเมืองหน้าด่านที่ใช้สำหรับแจ้งข่าวข้าศึกจากพม่าไปยังเมืองกาญจนบุรีเท่านั้น อำเภอนี้จึงไม่มีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งในช่วงสงครามโลก ครั้งที่ ๒
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๒ ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้ให้ถูกต้องตามประวัติศาสตร์และสอดคล้องกับทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ คือ “ทองคำ” ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่พบมากในอำเภอนี้โดยเปลี่ยนชื่อ “กิ่งอำเภอทองผาภูมิ” จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ จึงได้ยกฐานะเป็น “อำเภอทองผาภูมิ” จนถึงปัจจุบัน
งามวิถีแห่งวัฒนธรรม
อำเภอทองผาภูมิมีศิลปวัฒนธรรมแบบไทยภาคกลางที่ยังคงมีการยึดถือปฎิบัติกันมาตามแบบวิถีไทยแต่เนื่องจากอำเภอทองผาภูมิเป็นอำเภอที่อยู่ติดกับตะเข็บชายแดนไทย – พม่า จึงทำให้มีชนกลุ่มน้อยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานกันมาก ทำให้มีความแปลกแยกในเรื่องราวของประเพณีวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยชนเผ่าที่มีความโดดเด่นและอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในเขตอำเภอทองผาภูมิก็คือ ชาวกะเหรี่ยงและชาวพม่า “กะเร็น” (Karen) เป็นคำภาษาอังกฤษ แต่คนไทยส่วนใหญ่มักเรียกกันว่า “กะเหรี่ยง” แต่สำหรับผู้คนในชนเผ่านี้เองแล้วมักจะเรียกตัวเองว่า “กะเร็น” “ยาง” หรือ “กะเหรี่ยง” เป็นชาวเขาเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีการรวมตัวอยู่กันอย่างหนาแน่นในพื้นที่ป่าเขาทางทิศตะวันตกของประเทศไทย บริเวณแนวชายแดนไทย – พม่า โดยในอำเภอทองผาภูมิ มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่หมู่บ้านเกริงกระเวียและหมู่บ้านทิพุเยในตำบลชะแล ลักษณะการแต่งกายผู้ชายนิยมใส่เสื้อแขนสั้นสีดำหรือแดง มีเชือกถักเป็นพู่รัดเอว สวมกางเกงสีดำขายาวแบบจีนที่เรียกว่า “เตี่ยวสะดอ” หรือบางคนก็สวมโสร่งแบบพม่า ใช้ผ้าโพกหัวสีต่าง ๆ กันไป ส่วนผู้หญิงหากเป็นสาวโสดจะสวมชุดกระโปรงทรงกระสอบสีขาวยาวไปถึงข้อเท้า เสื้อทรงกระบอกแขนสั้น คอเป็นรูปตัววีถักด้ายสีแดงขลิบรอบคอเสื้อ ผ่าลงไปถึงช่วงล่างของตัวเสื้อ แต่หากเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อคอวี สีดำสั้นแค่เอว ชายเสื้อด้านล่างเย็บด้ายสีประดับลูกเดือยหรือลูกปัดสีขาวเป็นรูปตารางหมากรุกหรือจุดสีขาว ๆ สวมผ้าซิ่นสีแดงหรือลายอื่น ๆ ยาวถึงข้อเท้า ปัจจุบันชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ คือ “ปกากะญอ” หรือ “สะกอ” และ “โพล่ง” หรือ “โปว์” สำหรับกะเหรี่ยงที่ทองผาภูมิจัดอยู่ในกลุ่ม “โพล่ง” หรือ “โบว์” ที่อพยพมาจากพม่าตั้งแต่ตอนปลายอยุธยา ส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่มาจากอำเภอสังขละบุรี โดยมักตั้งหมู่บ้านในแถบภูเขาที่ไม่สูงมากนักหรือตามพื้นราบ ขนาดของหมู่บ้านจะมีตั้งแต่ ๒๐ – ๓๐ หลังคาเรือนขึ้นไปจนถึงกว่า ๑๐๐ หลังคาเรือน ซึ่งลักษณะการจัดตั้งหมู่บ้านของกะเหรี่ยงแต่ละกลุ่มนั้นจะไม่อยู่ปะปนกันส่วนใหญ่หมู่บ้านมักจะอยู่ห่างกันและใช้ระยะเวลาในการเดินเท้าประมาณ ๑ ชั่วโมง เป็นอย่างต่ำ
สำหรับการปกครองภายในหมู่บ้านของกะเหรี่ยงนั้นจะมีฝ่ายสำคัญอยู่ ๓ ฝ่ายด้วยกัน หนึ่งคือหัวหน้าหมู่บ้านที่แต่งตั้งขึ้นตามประเพณี สองหมอผี และสามเป็นกลุ่มผู้อาวุโสของหมู่บ้าน โดยหัวหน้าหมู่บ้านหรือที่ชาวกะเหรี่ยงมักจะเรียกว่า “ฮีโซ่” นั้น ว่ากันว่ายึดถือการสืบทอดสายเลือดทางบิดาเป็นหลัก นอกจากนี้หมอผีและกลุ่มผู้อาวุโสก็นับเป็นผู้ที่มีความสำคัญอยู่มากเช่นกัน โดยหมอผีจะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมและรักษาโรค ส่วนผู้อาวุโสจะเป็นผู้ที่คอยรักษากฎจารีตประเพณี ตัดสินคดีความ และเป็นที่ปรึกษาให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน สังคมกะเหรี่ยงเป็นสังคมที่เรียบง่ายและสันโดษมากทีเดียว อาชีพหลักของพวกเขาก็คือการปลูกข้าวและพืชผักต่างๆ มีการทำนาดำบ้าง ทำไร่แบบหมุนเวียนบ้าง อีกทั้งยังมีการเลี้ยงหมูและช้างเพื่อใช้เป็นอาหาร ประกอบพิธีกรรม ขาย และรับจ้างใช้งาน ส่วนลักษณะครอบครัวของกะเหรี่ยงนั้นเป็นครอบครัวเดี่ยวและถือระบบผัวเดียวเมียเดียวยึดถือการสืบเชื้อสายมาทางฝ่ายหญิงเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อมีการแต่งงานเกิดขึ้น ฝ่ายหญิงจะต้องเป็นฝ่ายไปสู่ขอฝ่ายชายโดยใช้หมูเป็นสินสอดทองหมั้น และฝ่ายชายเองก็ต้องย้ายมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง
วัฒนธรรมที่สำคัญและน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การรำตง” หรือที่ชาวกะเหรี่ยงมักเรียกกันว่า “เทอรีโต” เป็นการร่ายรำประกอบจังหวะเครื่องดนตรีต่าง ๆ เช่น กลอง สองหน้า ฉิ่ง เกราะ นิยมรำในงานวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ วันเข้าพรรษา หรือใช้ในการต้อนรับผู้มาเยือน
สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ การทำ “ทองโย๊ะ” เป็นชื่ออาหารชนิดหนึ่งของชนเผ่ากะเหรี่ยง เรียกว่า “หมี่สิ” หมายถึงความมั่นคงเหนียวแน่น จากคำบอกเล่าของผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า ในอดีตการใช้ชีวิตคู่ของชาวกะเหรี่ยงมีการแตกแยกสูง เมื่อแต่งงานกันไปแล้วก็มักจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน ทำให้เกิดปัญหาในสังคมมากผู้เฒ่าผู้แก่ของชนเผ่ากะเหรี่ยงเห็นว่าน่าจะมีกลอุบายมาลบล้างอาถรรพ์นี้ จึงได้นำข้าวเหนียว เกลือ งา หรือ แง โดยแงที่ว่านี้เป็นพืชที่มีเฉพาะในกลุ่ม
อำนาจหน้าที่
อำนาจหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด มีดังนี้
(มาตรา ๒๓) สำนักงานอัยการสูงสุด นอกจากมีอำนาจและหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการและงานวิชากร เพื่อสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานอัยการแล้ว ให้มีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) ให้ความช่วยเหลือประชาชนในการดำเนินการทางกฎหมายรวมตลอดทั้งในการคุ้มครอง ป้องกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน
(๒) ให้คำปรึกษา และตรวจร่างสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่รัฐบาล และหน่วยงานของรัฐ
(๓) ให้คำปรึกษา และตรวจร่างสัญญาหรือเอกสารทางกฎหมายให้แก่นิติบุคคล ซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐแต่ได้มีพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้น ทั้งนี้ ตามที่เห็นสมควร
(๔) ดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับคดีแพ่ง หรือคดีปกครองแทนรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งพนักงานอัยการได้รับดำเนินคดีให้
(๕) ดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีร้องขอ เว้นแต่การดำเนินการนั้นจะขัดต่องานในหน้าที่ หรืออาจทำให้ขัดต่อความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ
(๖) ดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกอบรมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาข้าราชการฝ่ายอัยการ
(๗) ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐในการอำนวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน
(๘) ติดต่อและประสานงานกับองค์กรหรือหน่วยงานต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ ในอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด
(๙) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ หรือสำนักงานอัยการสูงสุด
ในการตรวจร่างสัญญาตาม (๒) และ (๓) ให้สำนักงานอัยการสูงสุดมีหน้าที่รักษาประโยชน์ของรัฐ ในการนี้สำนักงานอัยการสูงสุดมีหน้าที่รายงานรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐตาม (๒) หรือนิติบุคคลตาม (๓) ที่เป็นคู่สัญญาให้ทราบถึงข้อที่ควรปรับปรุงหรือแก้ไขให้สมบูรณ์ ข้อเสียเปรียบหรือข้อที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
อำนาจหน้าที่ของอัยการสูงสุด มีดังนี้
(มาตรา ๒๗) ให้อัยการสูงสุดมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) กำหนดนโยบายและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เกิดผลสัมฤทธิ์และเป็นไปตามเป้าหมาย แนวทาง และแผนการปฏิบัติราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด
(๒) ควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารราชการ ปฏิบัติราชการ และบริหารงานบุคคลของสำนักงานอัยการสูงสุด ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน และประเพณีปฏิบัติของราชการ
(๓) บริหารจัดการงบประมาณ การเงิน ทรัพย์สิน และการพัสดุของสำนักงานอัยการสูงสุด
ในการปฏิบัติราชการตามวรรคหนึ่ง อัยการสูงสุดอาจมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุด หรือข้าราชการฝ่ายอัยการผู้หนึ่งผู้ใดปฏิบัติหน้าที่แทนได้
ให้อัยการสูงสุดโอยความเห็นชอบของ ก.อ. มีอำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการงบประมาณ การเงิน ทรัพย์สิน และการพัสดุของสำนักงานอัยการสูงสุด
อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการ มีดังนี้
มาตรา ๑๔ พนักงานอัยการมีอำจานและหน้าที่ ดังต่อไปนี้
(๑) อำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ
(๒) ในคดีอาญา มีอำนาจและหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและ ตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการ
(๓) ในคดีแพ่ง หรือคดีปกครอง มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลาง หรือราชการส่วนภูมิภาคในศาล หรือในกระบวนการทางอนุญาโตตุลากรทั้งปวง กับมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของ สำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ
(๔) ในคดีแพ่ง คดีปกครอง หรือคดีอาญา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ก็ดี หรือในคดีแพ่งหรือคดีอาญาที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้ กระทำตามคำสั่งของเจ้าที่ของรัฐซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือเข้าร่วมหรือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งกระทำการในหน้าที่ราชการก็ดี เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับแก้ต่างให้ก็ได้
(๕) ในคดีแพ่ง คดีปกครอง หรือกรณีมีข้อพิพาทที่ต้องดำเนินการทางอนุญาโตตุลาการ ที่หน่วยงานของรัฐซึ่งมิได้กล่าวใน (๓) หรือนิติบุคคลซึ่งมิใช่หน่วยงานของรัฐ แต่ได้มีพระราชบัญญัติด้วยกันเอง เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับว่าต่างหรือแก้ต่างให้ก็ได้
(๖) ในคดีที่ราษฎรฟ้องเองไม่ได้โดยกฎหมายห้าม เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการมีอำนาจเป็นโจทก์ได้
(๗) ดำเนินการตามที่เห็นสมควรเกี่ยวกับการบังคับคดีอาญาเฉพาะในส่วนของการยึด ทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามคำพิพากษา ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
(๘) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจำเลย หรือประกันรับสิ่งของไปดูแลรักษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น ในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
(๙) อำนาจและหน้าที่ตาม ก.อ. ประกาศกำหนดหรือเห็นชอบเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือมติคณะรัฐมนตรี
(๑๐) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ
(๑๑) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่กำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด ตามที่ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุด
ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการตามมาตรา ๑๔ (๓) (๔) และ (๕) พนักงานอัยการจะออกคำสั่งเรียกบุคคลใดๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำก็ได้ แต่จะเรียกคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมาให้ถ้อยคำ โดยคู่ความฝ่ายนั้นไม่ยินยอมไม่ได้
พนักงานอัยการตำแหน่งใดมีอำนาจดำเนินการตามวรรคหนึ่งได้เพียงใดให้เป็นไป ตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุด กำหนดโดยความเห็นชอบของ ก.อ.
:: กฎหมายองค์กรอัยการตามรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. ๒๕๕๐
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”
พันธกิจ (Missions)
1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงสร้าง (Structure)
วัฒนธรรมองค์กร
ทำเนียบผู้บริหาร
๑. นายนันทศักดิ์ พูลสุข พ.ศ.๒๕๓๓-๒๕๓๔
๒. นายประนอม มงคลพัฒนกุล พ.ศ.๒๕๓๔-๒๕๓๕
๓. นายอาทิตย์ บัวทอง พ.ศ.๒๕๓๕-๒๕๓๖
๔. นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ พ.ศ.๒๕๓๖-๒๕๓๗
๕. นายกมล ธรรมเสรีกุล พ.ศ.๒๕๓๗-๒๕๓๗
๖. นายศักดิ์ชัย อัศวินอานันท์ พ.ศ.๒๕๓๗-๒๕๓๘
๗. นายปราโมทย์ ศรีเตียเพ็ชร พ.ศ.๒๕๓๘-๒๕๓๙
๘. นายทศพล ชลมูสิก พ.ศ.๒๕๓๙-๒๕๔๑
๙. นายกฤษฎา สืบพงษ์ พ.ศ.๒๕๔๑-๒๕๔๒
๑๐. เรือโทสมชัย พันธ์ภูวงศ์ พ.ศ.๒๕๔๒-๒๕๔๓
๑๑. นายอนันต์ สินธุรักษ์ พ.ศ.๒๕๔๓-๒๕๔๔
๑๒. นายสุทิน เจริญรักษา พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๕
๑๓. นายชัยวัฒน์ ธิติชัยฤกษ์ พ.ศ.๒๕๔๕-๒๕๔๖
๑๔. นายขจร มีศีล พ.ศ.๒๕๔๖-๒๕๔๗
๑๕. นายมนูญ มุ่งพาลชล พ.ศ.๒๕๔๗-๒๕๔๘
๑๖. นายโชคชัย พัทยาอารยา พ.ศ.๒๕๔๘-๒๕๔๙
๑๗. นายภาณุพงษ์ เจริญยิ่ง พ.ศ.๒๕๔๙-๒๕๕๐
๑๘. นายสัญจัย จันทร์ผ่อง พ.ศ.๒๕๕๐-๒๕๕๓
๑๙. นางสาวกิจนา ตรีอนุรักษ์ พ.ศ.๒๕๕๓-๒๕๕๔
๒๐. นายวรวิทย์ สัมพัฒนวรชัย พ.ศ.๒๕๕๔-๒๕๕๕
๒๑. นายอธิคม ปานโต พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๗
๒๒. นายอภิชนษ์ รากบัว พ.ศ.๒๕๕๗-๒๕๕๙
๒๓. นายสุพจน์ สุขวิบูลย์ พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๐
๒๔. นายทนง ตะภา พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๑
๒๕. นายพนมฤทธิ์ หอมนิจสกุล พ.ศ.๒๕๖๑-๒๕๖๒
๒๖. ว่าที่ร้อยตรีมิตร มูลสวัสดิ์ พ.ศ.๒๕๖๒-๒๕๖๓
๒๗. นายชลัฏ มัณฑนาพงศ์ พ.ศ.๒๕๖๓-๒๕๖๔
๒๘. นายกฤตศิลป ช่วยศรี พ.ศ.๒๕๖๔-๒๕๖๕
๒๙. นายศราวุธ พูลสุข พ.ศ.๒๕๖๕-๒๕๖๖
๓๐. นายกอบชัย สุปรินายก พ.ศ.๒๕๖๖-๒๕๖๗
๓๑. พันตำรวจตรี วัฒนา บุญเหิน พ.ศ.๒๕๖๗-ปัจจุบัน
สถิติคดี
ผังกระบวนงาน
ติดต่อหน่วยงาน
ที่ทำการชั่วคราว สำนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ
ซอยวัดเวฬุวัน หมู่ที่ 1 ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี 71180
โทรศัพท์ 034-599124 โทรสาร 034-599554
E-mail : tpp@ago.go.th
Link แผนที่ google map