พิธีเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
วันอังคาร ที่ 30 เมษายน 2567 เวลา 14.00 น. นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต มอบหมายให้นายณัชพงศ์ธร คงแข็ง รองอัยการจังหวัด
พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมแสดงออกถึงความจงรักภักดี
และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ณ ศาลาการเปรียญ วัดขจรรังสรรค์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
————————
พิธีสวดพระปริตรและเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน 2567 เวลา 17.00 น.นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต ร่วมพิธีสวดพระปริตร
และเจริญพระพุทธมนต์เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน 2567 นับเป็นโอกาสอันเป็นมงคลยิ่งที่พระองค์ท่านจะทรงเจริญพระชนมายุครบ 19 พรรษา
ณ วัดสะปำธรรมาราม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
——————————–
โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 22 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ เข้าร่วมพิธีบรรพชา
โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ
28 กรกฎาคม 2567 ณ วัดเทพวนาราม (วัดม่าหนิก) ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
————————————–
พิธีปลงผม โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 21 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต มอบหมายให้นางสาวพรรษชล เกษราพงศ์ อัยการจังหวัดผู้ช่วย
พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ เข้าร่วมพิธีปลงผม โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567
ณ วัดเทพวนาราม (วัดม่าหนิก) ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต
————————————–
นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจัดหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยสำนักงานอัยการภายในจังหวัดภูเก็ตทั้งหมดร่วมกันจัดงาน
“รดน้ำดำหัวอัยการผู้ใหญ่” ในจังหวัดภูเก็ต การแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้ใหญ่ที่เคารพรักนั้นสำคัญ เพียงได้ทำปีละครั้งก็สุขหัวใจ
————————————–
สำนักงานอัยการภาค 8 จัดโครงการ “131 ปี องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน”
วันที่ 3 เมษายน 2567 สำนักงานอัยการภาค 8 จัดโครงการ “131 ปี องค์กรอัยการ ที่พึ่งด้านกฎหมายของรัฐและประชาชน”
โดยการจัดกิจกรรมทางศาสนาเจริญพระพุทธมนต์ กิจกรรมปล่อยปลา และกิจกรรมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ณ อาคารสำนักงานอัยการภาค 8
โดยมีท่านฉัตรชัย ใจดี อธิบดีอัยการภาค 8 เป็นประธานในพิธี มีอัยการจังหวัดและพนักงานอัยการทุกสำนักงานในภาค 8 เข้าร่วมพิธี
ในการนี้นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต , นางสาวศิรินธร พัฒนาอิทธิกุล อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงภูเก็ต , นายสุวัฒนา แสงอุไร
อัยการจังหวัดคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต และ นางสาวพูลสุข เพ็งสังข์ อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิฯ นำคณะอัยการและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมพิธีรดน้ำขอพรผู้บังคับบัญชา และอัยการอาวุโสผู้เคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาเพื่อแสดงออกถึงความเคารพนับถือ แสดงความกตัญญู
พร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและบุคลากรในสำนักงานเนื่องในโอกาสวันปีใหม่ไทย
————————————–
พิธีวางพวงมาลา “รำลึก 111 ปี พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)”
วันพุธ ที่ 10 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต มอบหมายให้นายอิทธิโชติ กุลรัตนโชติ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา “รำลึก 111 ปี พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)”
เพื่อแสดงถึงความเคารพ เชิดชูเกียรติ และรำลึกถึงคุณงามความดี และคุณประโยชน์ในการวางรากฐานและสร้างความเจริญก้าวหน้าในด้านต่างๆ
ให้จังหวัดภูเก็ต ณ บริเวณอนุสาวรีย์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี สวนสาธารณะเขารัง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต
————————————————
วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ ประจำปี 2567
วันเสาร์ ที่ 6 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ
เข้าร่วมพิธีวันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์
ณ อาคารหอประชุมจังหวัดภูเก็ต ห้องประชุมมหิศรภักดี ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
————————————————
วันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันที่ 2 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต มอบหมายให้ “นายธนวิชญ์ วิมลพันธุ์” อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
ในการเข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วัดกระทู้ จังหวัดภูเก็ต
————————————————
ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล
และพิธีถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ
สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วันอังคาร ที่ 2 เมษายน 2567 เวลา 07.30 น. นายศราวุธ สุขแก้ว อัยการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล
และพิธีถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต อำเภอเมือวภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
————————————————
นายศราวุธ สุขแก้ว เข้ารับตำแหน่งอัยการจังหวัดภูเก็ต
วันที่ 1 เมษายน 2567 นายศราวุธ สุขแก้ว เข้ารับตำแหน่งอัยการจังหวัดภูเก็ต โดยมีข้าราชการอัยการ ข้าราชการธุรการ
และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ตร่วมแสดงความยินดีและให้การต้อนรับ
————————————————
พิธีสวดพระพุทธมนต์และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ
เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2566
วันศุกร์ ที่ 13 ตุลาคม 2566 นายวิกรม โกมลตรี อัยการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยข้าราชการธุรการ ร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เนื่องในวันนวมินทรมหาราช 13 ตุลาคม 2566 เพื่อระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต
————————————————
กิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย 28 กันยายน (Thai National Flag Day)
ประจำปี 2566
วันพฤหัสบดี ที่ 28 กันยายน 2566 ข้าราชการฝ่ายอัยการ และเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติไทย เวลา 08.00 นาฬิกา ณ บริเวณหน้าเสาธง ของสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย เพื่อเป็นการสร้าง ความภาคภูมิใจของคนในชาติ และเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย
เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ นายพรไพโรจน์ ตรีพงษ์พันธุ์ อัยการจังหวัดภูเก็ต พร้อมทั้งพนักงานอัยการ ข้าราชการธุรการ ได้เข้าร่วมทำพิธีถวายพานพุ่มดอกไม้และพิธีถวายบังคม
ต่อพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ อาคารหอประชุม ศูนย์ราชการจังหวัดภูเก็ต
และต่อมาได้ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล ณ บริเวณด้านหน้าอาคารศาลากลางจังหวัดภูเก็ต (หลังใหม่)
กิจกรรมเนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย ๒๘ กันยายน (Thai National Flag Day) ประจำปี ๒๕๖๔
วันอังคารที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๔ ข้าราชการฝ่ายอัยการ และเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเคารพธงชาติและร้องเพลงชาติไทย เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา ณ บริเวณหน้าเสาธง
ของสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต เนื่องในวันพระราชทานธงชาติไทย เพื่อเป็นการสร้างความภาคภูมิใจของคนในชาติ และเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย
เกี่ยวกับสำนักงาน
ประวัติความเป็นมา
ประวัติสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต
ช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จังหวัดภูเก็ตมีฐานะเป็นเมืองขึ้นของสมุหกลาโหม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าหลวงใหญ่ไปประจำ ณ เมืองภูเก็ต ทำหน้าที่กำกับราชการ จัดเก็บภาษีอากร และรับส่งเงินตราในหัวเมืองชายทะเลตะวันตก ในปี พ.ศ.2418 และเมื่อโปรดให้รวมหัวเมืองชั้นนอกเข้าเป็นมณฑลมีข้าหลวงใหญ่ประจำมณฑลเป็นการทดลองจัดการปกครองก่อนการปฏิรูปการปกครองในปี พ.ศ.2435 นั้น พระองค์โปรดให้รวมเมืองภูเก็ต เมืองกระบี่ เมืองตรัง เมืองตะกั่วป่า เมืองพังงา และเมืองระนอง เป็นมณฑล เรียกชื่อว่า “มณฑลฝ่ายทะเลตะวันตก” ตั้งกองบัญชาการมณฑลที่เมืองภูเก็ต เมื่อตั้งกระทรวงมหาดไทยขึ้นในปี พ.ศ.2435 จึงเริ่มจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้นมณฑลฝ่ายทะเลตะวันตกเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น “มณฑลภูเก็ต”ตามชื่อเมืองที่ตั้งมณฑลแต่ยังสังกัดในกระทรวงกลาโหม จนกระทั่ง พ.ศ.๒๔๓๗ จึงขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย มีฐานะเป็นมณฑลเทศาภิบาลตามระบอบการปกครองแบบเทศาภิบาล แบ่งการปกครองเป็น มณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้านตามลำดับ และแบ่งหน้าที่บริหารราชการตามกระทรวงในราชธานี
ในส่วนการปฏิรูปการศาลและกฎหมายก็ดำเนินควบคู่ไปกับการปฏิรูปการปกครอง กล่าวคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกระทรวงยุติธรรมเมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2434 เพื่อรวมศาลต่าง ๆ ซึ่งแยกย้ายสังกัดอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ ไว้ในสังกัดเดียวกัน ซึ่งรวมเพียงเฉพาะศาลในกรุงเทพมหานครเท่านั้น ส่วนศาลหัวเมืองยังคงสังกัดกระทรวงมหาดไทยตามเดิม จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๓๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “พระธรรมนูญศาลหัวเมือง รัตนโกสินทรศก 114” เพื่อจัดระเบียบการศาลหัวเมืองให้สอดคล้องและรวมสังกัดอยู่ในกระทรวงยุติธรรมแห่งเดียว มีการตั้งศาลขึ้นในเมืองทั่ว ๆ ไปเพื่อให้เพียงพอแก่การอำนวยความสะดวกราษฎรที่เกิด คดีความ แยกที่ทำการศาลออกจากศาลากลางซึ่งเดิมใช้เป็นที่ชำระความ รวมทั้งจัดให้มีพนักงานอัยการเป็นทนายแผ่นดินฟ้องคดีโทษหลวง และแบ่งศาลหัวเมืองเป็น 3 ชั้น คือ ศาลมณฑล ศาลเมือง ศาลแขวง จากนั้นโปรดให้ตรา “พระราชบัญญัติตั้งข้าหลวงพิเศษสำหรับจัดการแก้ไขธรรมเนียมศาลยุติธรรมหัวเมืองทั้งปวง รัตนโกสินทรศก 115” เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ.2439 กำหนดให้มีข้าหลวงพิเศษ 5 นาย ประกอบด้วยข้าหลวงพิเศษประจำการ 3 นาย เทศาภิบาลประจำมณฑล และผู้ว่าราชการเมืองซึ่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง ทำหน้าที่จัดการแก้ไขกิจการศาลหัวเมืองให้เป็นไปตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองกำหนด
ข้าหลวงพิเศษสำหรับจัดการแก้ไขธรรมเนียมศาลยุติธรรมหัวเมือง ดำเนินการจัดตั้งศาลมณฑลกรุงเก่าเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2439 และในปีต่อมาได้จัดการตั้งศาลมณฑลปราจีนบุรี ศาลมณฑลนครราชสีมา ศาลมณฑลนครศรีธรรมราช ศาลมณฑลพิษณุโลก โดยลำดับ ในปี พ.ศ.2441 จัดการตั้งศาลมณฑลลพบุรี ศาลมณฑลภูเก็ต ศาลมณฑลนครสวรรค์ ศาลมณฑลนครไชยศรี ศาลมณฑลชุมพร และศาลมณฑลจันทบุรี
ศาลยุติธรรมมณฑลภูเก็ต จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2441 ตามประกาศตั้งศาลยุติธรรมมณฑลภูเก็ต ความว่า “บัดนี้ ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า ควรจะลงมือทำการจัดตั้งศาลยุติธรรมมณฑลภูเก็ต ตามพระธรรมนูญศาลหัวเมืองได้อีกตำบลหนึ่ง จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระยาประชาชีพบริบาล 1 พระนริศราชกิจ ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นข้าหลวงพิเศษตามตำแหน่งอีกนายหนึ่ง มิศเตอร์ชีมงหนึ่ง มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติในมาตรา 2 มีอำนาจตั้งศาลยุติธรรมมณฑลภูเก็ต เต็มตามพระราชบัญญัติข้าหลวงพิเศษทุกประการ
ประกาศมา ณ วันที่ 8 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 117”
(1)แม้ข้าหลวงพิเศษจะจัดตั้งศาลมณฑลภูเก็ต ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2441 ก็ตาม แต่ศาลมณฑลภูเก็ตยังไม่สามารถเปิดทำการได้ เนื่องจากไม่มีผู้พิพากษาไปประจำจนกระทั้งพระยาพิจารณาปฤชามาตย์ (สุหร่าย วัชราภัย) เมื่อครั้งเป็นนายเสนองานประกาศเดินทางไปรับตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑลภูเก็ต ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2442 ศาลมณฑลภูเก็ต จึงได้เปิดทำการพิจารณาพิพากษาคดี ได้ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2442 เป็นต้นมา ศาลมณฑลภูเก็ตเป็นศาลชั้นสูงมีอำนาจตัดสินคดีความได้ทุกประเภท และเป็นศาลอุทธรณ์ในมณฑลด้วย ศาลมณฑลภูเก็ตตั้งอยู่ในเมืองภูเก็ตอันเป็นเมืองที่ตั้งมณฑล มีตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑล เป็นตำแหน่งหัวหน้าการยุติธรรมทั้งมลฑล สืบแทนตำแหน่งข้าหลวงยุติธรรม
วิธีพิจารณาความในศาลหัวเมืองแต่เดิมเป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการเมืองและกรมการเมืองในทำเนียบชั้นสัญญาบัตร คือ ยกกระบัตรอันเป็นตำแหน่งที่บังคับบัญชาการรักษาตัวบทกฎหมายพระอัยการหัวเมือง และมีตำแหน่งแพ่งเป็นผู้ช่วยทำหน้าที่ไต่สวนสืบจับโจรผู้ร้าย และฟ้องว่าความแผ่นดิน พนักงานอัยการประจำศาลตั้งขึ้นเมื่อมีการจัดตั้งศาลหัวเมือง ตามแบบการจัดการศาลยุติธรรมในกรุงเทพฯ ตามความใน “พระธรรมนูญศาลหัวเมือง รัตนโกสินทรศก 114” มาตรา 25 ความว่า
“……ข้าหลวงเทศาภิบาลเมื่อได้รับอนุญาตจากกระทรวง กระทรวงยุติธรรมแล้ว มีอำนาจที่จะตั้งพนักงานอัยการไว้สำหรับเปนทนายแผ่นดินฟ้อง หากคดีมีโทษหลวงในมณฑลเมืองนั้น ๆ ตามข้อพระราชบัญญัติความอาญามีโทษหลวง ถ้าหากว่ามีคดีซึ่งจะต้องแต่งทนายแผ่นดินว่ากล่าวมากเกินกว่าพนักงานอัยการที่มีประจำตำแหน่ง ฤาผู้บัญชาการเมืองจะเห็นสมควรโดยเหตุอย่างอื่น จะตั้งทนายแผ่นดินเพิ่มเติมว่าความเฉพาะเรื่องฤาชั่วครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง โดยจะยังไม่ได้รับอนุญาตของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมก็ตั้งได้
(2)ในส่วนการเลือกสรรบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งพนักงานอัยการ และประโยชน์ของการมีพนักงานอัยการนี้ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ใน “คำอธิบายการจัดศาลหัวเมือง” เอกสารประกอบการประชุมเทศาภิบาล ครั้งที่ 7-8 วันที่ 30-30 มกราคม พ.ศ. 2438
“….การที่จะเลือกผู้เปนพนักงานอัยการนั้น ย่อมจำเปนที่จะต้องเลือกสรรผู้ชำนิชำนาญกฎหมายแลกระบวนถ้อยความตั้งเปนธรรมดา และไม่จำเปนต้องมีสักกี่คนนัก แลต้องเปนที่เข้าใจอย่าง 1 ว่า พนักงานอัยการนี้สำหรับจะเปนทนายว่าความแผ่นดินต่อเมื่อได้รับคำสั่งของข้าหลวงเทศาภิบาลหรือผู้ว่าราชการเมือง…”
(3)“….ตำแหน่งพนักงานอัยการสำหรับเปนทนายแผ่นดินดังได้ กล่าวในมาตรา 25 แห่งพระธรรมนูญศาลหัวเมืองนั้นจำต้องมีเพราะตามการที่มักจะเปนได้มาแต่ก่อนนั้น ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดกระทำล่วงเกินเลมิดพระราชกำหนดกฎหมายประการใด และที่ใด ๆ บางทีไม่มีโจทย์ฟ้องร้อง ความก็เชือนสูญไปหรือบางทีโจทย์จำเลยสมยอมฟ้องร้องแก้เกี้ยวให้ผู้ผิดรอดพ้นพระราชอาญาต่อไป หรือบางทีไม่มีโจทย์ แต่เจ้าพนักงานจับตัวคนมาฟ้องซักชำระสะสางในถานที่เปนโจทย์ด้วย แลเปนดุลการตัดสินเสร็จไปในตัว ประเพณีที่เปนดังนี้ชื่อว่าไม่สมควรแก่ยุติธรรม ตำแหน่งพนักงานอัยการมีขึ้นสำหรับที่จะจัดการแก่การเหล่านี้เปนสำคัญ กล่าวคือ ถ้าข้าหลวงแลผู้ว่าราชการเมืองรู้เห็นว่าผู้ใดกระทำล่วงเลมิดพระราชอาญา และจะพ้นไปเสียได้ด้วยไม่มีโจทย์ฟ้องร้องก็ตาม หรือโจทย์จำเลยสมยอมกันเสียก็ตาม ต้องให้พนักงานอัยการเปน ทนายแผ่นดินฟ้องร้องเอาตัวผู้ผิดมาชำระเอาโทษตามพระราชอาญาจงได้
แลการที่ให้มีพนักงานอัยการนี้ ยังเพื่อประโยชน์ในความยุติธรรมอย่าง 1 กล่าวคือ ที่จะให้ตำแหน่งผู้พิพากษาสมควรเปนไว้วางใจของราษฎรได้ทั่วกัน ว่าเปนกลางมิได้เกี่ยวข้องในฝ่ายโจทย์หรือจำเลยในคดีใด ๆ ทั่วไป เพราะถึงจะเปนความฟ้องร้องว่ากล่าวโดยอำนาจบ้านเมืองก็คงมีพนักงานอัยการเปนโจทย์ ซึ่งจะมาอยู่ในอำนาจและความยุติธรรมของศาลเสมอด้วยจำเลยอีกว่าการที่จำจับกุมคนมาชำระสะสางเอาโดยอำนาจของศาลแลบ้านเมืองปะปนดังแต่ก่อน”
(4)การอัยการศาลมณฑลภูเก็ตแต่แรก จึงอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต คือ พระยาวรสิทธิ์เสวีวัตร (ใต้ฮก ภัทรนาวิก) โดยความเห็นชอบของกระทรวงยุติธรรม และขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยซึ่งบังคับบัญชาหัวเมืองทั่วพระราชอาณาจักร และคงมีที่ทำการอยู่บนศาลาว่าการมณฑล มีพนักงานอัยการทำการในตำแหน่งยกกระบัตรมณฑลภูเก็ตคนแรก คือ นายบูด
พนักงานอัยการแต่เดิมแยกย้ายสังกัดอยู่ตามกระทรวงต่าง ๆ ดังนั้นอำนาจการแต่งตั้งพนักงานอัยการจึงกระจัดกระจายไปตามสายการบังคับบัญชา ดังที่ระบุไว้ในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม รัตนโกสินทรศก 127 มาตรา 33-34 ความว่า
“……กรมอัยการในกรุงเทพมหานคร ให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม อัยการหัวเมืองให้ขึ้นอยู่ในกระทรวง เจ้าหน้าที่ซึ่งรักษาราชการเมืองและมณฑลนั้น”
(5)และ “….วิธีตั้งอัยการนั้น ในกรุงเทพมหานครตำแหน่งเจ้ากรมแลปลัดกรมอัยการตั้งโดยพระบรมราชานุญาต พนักงานอัยการในกรุงเทพฯ เจ้ากรมอัยการเปนผู้จัดสรรตั้งโดยได้รับอนุมัติของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม พนักงานอัยการในหัวเมืองต่างๆ นั้น เสนาบดีเจ้ากระทรวงที่รักษาราชการเมือง ตั้งยกกระบัตร์มณฑลแลยกกระบัตร์เมือง ข้าหลวงสำเร็จราชการมณฑลจัดตั้งตำแหน่งพนักงานอัยการที่รองแต่ยกกระบัตร์ลงมา”
(6)สรุปได้ว่าพักงานอัยการในกรุงเทพฯ ขึ้นอยู่กับกระทรวงยุติธรรม พนักงานอัยการในหัวเมืองมณฑลกรุงเทพฯ ขึ้นกระทรวงนครบาลตามสายการบังคับบัญชา และพนักงานอัยการในหัวเมืองมณฑลอื่นๆ ขึ้นกระทรวงมหาดไทย ตำแหน่งยกกระบัตรมณฑลภูเก็ต จึงอยู่ในบังคับบัญชาของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยและแต่งตั้งโดยเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยด้วย
จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน พ.ศ.๒๔๕๙ พระองค์โปรดให้รวมพนักงานอัยการสังกัดอยู่ในกระทรวงยุติธรรม และเปลี่ยนชื่อเรียกตำแหน่งยกกระบัตรมณฑล เป็นอัยการมณฑล ตาม “ประกาศรวมพนักงานอัยการ” ลงวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2458 ความว่า
“มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้า ฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าพนักงานอัยการเวลานี้ยังแยกกันอยู่หลายกระทรวงสมควรที่จะรวมอยู่ในกระทรวงเดียวกัน เพื่อให้ทำการสดวกแก่ราชการยิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ตราพระราชบัญญัติไว้สืบไปดังนี้
มาตรา 1 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พระพุทธศักราช 2459 สืบไป….. ให้เปลี่ยนนามตำแหน่งยกกระบัตร์มณฑลแลยกระบัตร์เมือง ผู้มีน่าที่เป็นพนักงานใหญ่ของอัยการในมณฑลแลหัวเมืองนั้นเสีย ให้เรียกว่า อัยการมณฑล แลอัยการเมืองสืบไป
มาตรา 2 ให้ใช้ข้อความที่กล่าวต่อไปนี้แทนความในมาตรา 33 และ 24 กับ 25 ซึ่งยกเลิกเสียข้างต้นนั้นว่า มาตรา 33 ให้มีพนักงานอัยการไว้สำหรับเปนทนายแผ่นดินแทนรัฐบาลนาลทั้งในกรุงแลหัวเมือง เรียกว่า กรมอัยการ ให้ขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรม มาตรา 34 วิธีตั้งพนักงานอัยการนั้น ถ้าเป็นตำแหน่งอธิบดี เจ้ากรมปลัดกรมอัยการ และอัยการมณฑล อัยการเมืองแล้ว ให้เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้จัดสรรตั้งโดยพระบรมราชานุญาต ถ้าเปนพนักงานอัยการอื่น ๆ ให้อธิบดีหรือเจ้ากรมอัยการเป็นผู้จัดสรรตั้งได้ โดยรับอนุมัติของเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม….”
(7)ตำแหน่งยกกระบัตรมณฑลภูเก็ต จึงเปลี่ยนชื่อเป็น อัยการมณฑลภูเก็ต และขึ้นในกรมอัยการสังกัดกระทรวงยุติธรรมสืบมา พ.ศ.2465 จึงย้ายไปสังกัดกระทรวงมหาดไทยตาม “ประกาศรวมการปกครองท้องที่ และแบ่งปันน่าที่ราชการระหว่างกระทรวงมหาดไทยกับกระทรวงยุติธรรม” ลงวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ.2465 ความว่า
“…..กรมอัยการซึ่งแต่เดิมมาทางกรุงเทพ ฯ ขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรมแต่ฝ่ายหัวเมืองขึ้นอยู่ในกระทรวงมหาดไทย และภายหลังได้ยกไปรวมไว้เปนกรมเดียวกันขึ้นอยู่ในกระทรวงยุติธรรมนั้น บัดนี้ สมควรที่จะยกมาไว้ในกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ปฏิบัติการถนัดขึ้น เพราะฉะนั้นให้…. โอนกรมอัยการจากกระทรวงยุติธรรมมาขึ้นในกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
(8)รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475แล้ว โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยามพุทธศักราช 2476 ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2476
(9)จัดระเบียบราชการออกเป็น
1. ราชการบริหารส่วนกลาง
2. ราชการบริหารส่วนภูมิภาค
3. ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น
ในส่วนราชการบริหารส่วนภูมิภาค จัดระเบียบบริหารราชการออกเป็น จังหวัดและอำเภอ เป็นการยกเลิกการปกครองแบบเทศาภิบาล เมื่อฝ่ายปกครองยกเลิกมณฑลเทศาภิบาลแล้ว ฝ่ายศาลยุติธรรมจึงต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ร.ศ.127 ยกเลิกศาลมณฑลให้ศาลมณฑลเป็นฐานะเป็นศาลจังหวัด และยุบตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลมณฑล ตามความใน “พระธรรมนูญศาลยุติธรรม แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2476” วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2476 มาตรา 4
(10) ดังนั้น ตำแหน่งอัยการศาลมณฑลภูเก็ตจึงเปลี่ยนฐานะเป็นอัยการประจำศาลจังหวัดภูเก็ต
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ.2478 สภาผู้แทนราษฎรเห็นสมควรกำหนดอำนาจหน้าที่พนักงานอัยการ การแต่งตั้งและจัดระเบียบการบังคับบัญชาพนักงานอัยการ จึงมีพระบรมราชโองการให้ตรา “พระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พุทธศักราช 2478” ประการใช้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2478 ความว่า
“มาตรา 5 ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลชั้นต้นทุกศาล ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม สังกัดขึ้นในกรมอัยการ”
“มาตรา 6 การแต่งตั้ง ถอดถอน ปลด และย้ายพนักงานอัยการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้น และพระราชกฎษฏีกากำหนดวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษในกรมอัยการ ซึ่งตราขึ้นตามความในพระราชบัญญัตินั้น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา”
การแต่งตั้งพนักงานอัยการจะต้องแต่งตั้งจากบุคคลที่เป็นสมาชิกแห่งเนติบัณฑิตยสภาด้วย และระบุตำแหน่งอัยการประจำศาลจังหวัดไว้ว่า
(11)“มาตรา 11 ให้ทุกท้องที่ที่ตั้งศาลจังหวัด ให้มีพนักงานอัยการนายหนึ่งหรือหลายนาย แล้วแต่รัฐมนตรีจะเห็นสมควร ถ้ามีพนักงานอัยการมากกว่านายหนึ่ง ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้านายหนึ่ง เรียกว่า “อัยการจังหวัด” นอกนั้นให้เป็นผู้ช่วย เรียกว่า “อัยการผู้ช่วย”
(12) กับทั้งระบุอำนาจหน้าที่พนักงานอัยการไว้ว่า
ในทางอาญา อัยการมีหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐ และในทางแพ่งมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาลศาลทั้งปวง ฯลฯ
การอัยการประจำศาลจังหวัดภูเก็ต ดำเนินสืบมาตามประวัติดังกล่าวตราบจนกระทั่งปัจจุบัน
บรรณานุกรม
การปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ ฯ พระ-จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระปิยมหาราช. พระนคร: โรงพิมพ์สำนักทำเนียบรัฐมนตรี, /2511(จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสครบ 100 ปี ตั้งแต่พระบาทสมเด็จ ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชย์ 1 ตุลาคม 2511).
จักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ์, หลวง. เรื่องของเจ้าพระยามหิธร. พระนคร : โรงพิมพ์ตีรณสาร 2499 (ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยามหิธร (ลออไกรฤกษ์ ณ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 15 พฤศจิกายน 2499).
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. เทศาภิบาล พระนคร : คลังวิทยา,2495.
ที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดอาคาร ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2521
สุจริต ถาวรสุข (ผู้รวบรวม). การจัดศาลหัวเมืองครั้งแรก พระนคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, 2507 (พิมพ์แจกในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ณ วัดราชผาติการาม วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2507).
สุนัย ราชภัณฑารักษ์. ภูเก็ต กรุงเทพมหานคร : แสงการพิมพ์, /2528. (พิมพ์เผยแพร่ เนื่องในโอกาสฉลอง 200 ปี วีรสตรีเมืองถลาง พ.ศ.2528).
เสถียร ลายลักษณ์, นายร้อยตำรวจโท. และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 15. พระนคร: โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2478.
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 16. พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2478
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 22. พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2477.
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 28. พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2477.
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 35. พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2477.
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 43. [ม.ป.ท.] : 2476
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 46 พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2477.
…………………. ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 48. (ภาค 2). พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2478.
อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง เวภาระ) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส 20 มกราคม 2526 กรุงเทพมหานคร : โ รงพิมพ์รุ่งเรือง 2526.
อรรถไกวัลวที, หลวง. และสุข เปรุนาวิน, ศาสตราจารย์ พลโท. ระบบอัยการและศาลทหาร พระนคร : โรงพิมพ์ของสมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2510.
อำมาตยาธิบดี (เส็ง วิรยศิริ), พระยา. การปกครองฝ่ายพลเรือน. พระนคร :
โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, 2505. (พิมพ์แจกเป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพ พระภักดีศรีสุพรรณภูมิ (สุด สุนทรศารทูล) ณ เมรุวัดมกุฎกษัตริยาราม 19 พฤศจิกายน 2505).
………………………………….
นางสาวสิรินันท์ บุญศิริ
นักอักษรศาสตร์ 5 ค้นคว้าเรียบเรียง
นางสายไหม จบกลศึก
หัวหน้างานประวัติศาสตร์
ว่าที่ ร้อยตรี สมศักดิ์ รัตนกุล
ผู้อำนวยการกองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ ตรวจแก้.
เอกสารชุดนี้ได้คัดลอกมาจากหนังสืออนุสรณ์ เปิดที่ทำการอัยการ จังหวัดภูเก็ต
วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พุทธศักราช 2530
(1)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 16 (พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์,2478), หน้า 399
(2)นายร้อยโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น,ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 15 (พระนคร:โรงพิมพ์เดลิเมล์, 2478), หน้า 65
(3)สุจริต ถาวรสุข (ผู้รวบรวม), การจัดศาลหัวเมืองครั้งแรก (พระนคร : โรงพิมพ์ชวนพิมพ์,2507), หน้า 46
(4)เรื่องเดียวกัน,หน้า 45-46.
(5)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 22 พระนคร โรงพิมพ์เดลิเมล์,๒๔๗๗),หน้า 251
(6)เรื่องเดียวกัน,หน้า 252
(7)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น,ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 28 (พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์,2477),หน้า 477-478.
(8)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 35 (พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์,2477), หน้า 68.
(9)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 46 (พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์,2477), หน้า 505-513.
(10)เรื่องเดียวกัน, หน้า 734- 735
(11)นายร้อยตำรวจโท เสถียร ลายลักษณ์ และคนอื่น, ประชุมกฎหมายประจำศก เล่ม 48(ภาค 2) (พระนคร : โรงพิมพ์เดลิเมล์,2479), หน้า 1123-1124..
(12)เรื่องเดียวกัน,หน้า 1125
อำนาจหน้าที่
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”
พันธกิจ (Missions)
1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงสร้าง (Structure)
วัฒนธรรมองค์กร
ผังกระบวนงาน
มาตรฐานเวลาการบริการเพื่อประชาชน
ประเภทงานบริการ | เวลาในการปฏิบัติ |
– การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับการขอรับคำปรึกษาทางกฎหมาย | ๔ ชั่วโมง |
– การขอประกันตัวผู้ต้องหา (กรณีเอกสารครบถ้วน) | ๑ ชั่วโมง |
– การขอคืนหลักประกัน ในการประกันตัวผู้ต้องหา | ๒๐ นาที |
– การขอคืนหลักประกันเป็นเอกสาร (เช่น โฉนด) | ๑๕ นาที |
– กรณีเป็นเงินสดที่ต้องเบิกจากสำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ต (ไม่รวมเวลาดำเนินการของสำนักงานคลังจังหวัดภูเก็ต) | ๑ วันทำการ |
– แจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลาง(เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน) | ๔ วันทำการ |
เวลาเริ่มต้นตั้งแต่ผู้รับผิดชอบลงมือปฏิบัติ และเอกสารครบถ้วนตามระเบียบ(หากมีปัญหาหรือขอสงสัย ให้พบอัยการจังหวัด)
ขั้นตอนและระยะเวลาในการทำสัญญาประกันเมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนพร้อมตัวผู้ต้องหา (กรณีที่เอกสารพร้อม)
– ตรวจสำนวนจากพนักงานสอบสวน | ๑๐ นาที |
– ตรวจสอบเอกสารและหลักทรัพย์ | ๕ นาที |
– พิมพ์สัญญาประกัน | ๑๕ นาที |
– ให้นายประกันลงชื่่อ | ๑๐ นาที |
– ตรวจสอบความเรียบร้อย | ๓ นาที |
– นำเสนออัยการจังหวัดพิจารณา | ๑๕ นาที |
– รับทราบวันนัด | ๒ นาที |
รวมระยะเวลาในการทำสัญญาประกัน ๑ เรื่อง ใช้เวลาประมาณ ๑ ชั่วโมง |
บุคลากร
ข้าราชการอัยการ
ข้าราชการธุรการ
ลูกจ้างประจำ
จ้างเหมาบริการ
ทำเนียบผู้บริหาร
สถิติคดี
สถิติคดี สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต
ประเภท สำนวน | สำนวน ส.๑ที่ปรากฏตัวผู้ต้องหา | สำนวน ส.๒ไม่ปรากฏตัวผู้ต้องหา | สำนวน ส.๓ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด | สำนวน ส.๔ ฟ้องความอาญา | สำนวน ส.๕คดีแพ่ง | สำนวน ส.๕ กแก้ต่างคดีอาญา | สำนวนฟื้นฟู |
พ.ศ.๒๕๔๘ | ๒,๕๐๘ | ๘๕๔ | ๒๔๖ | ๒,๔๖๐ | ๗๑ | ๑ | ๓๔ |
พ.ศ.๒๕๔๙ | ๒,๖๔๗ | ๗๗๒ | ๑๕๕ | ๒,๗๗๓ | ๕๗ | ๖ | ๖๙ |
พ.ศ.๒๕๕๐ | ๓,๕๑๑ | ๘๗๒ | ๑๙๓ | ๒,๙๗๙ | ๒๗ | ๓ | ๙๐ |
พ.ศ.๒๕๕๑ | ๓,๓๘๔ | ๑,๑๐๔ | ๒๔๓ | ๒,๕๔๓ | ๓๕ | ๕ | ๑๒๑ |
พ.ศ.๒๕๕๒ | ๓,๖๓๒ | ๘๗๙ | ๑๙๖ | ๒,๖๖๖ | ๒๙ | ๕ | ๓๓๖ |
พ.ศ.๒๕๕๓ | ๓,๒๒๑ | ๘๔๙ | ๑๑๓ | ๓,๒๑๓ | ๗๓ | ๗ | ๑,๐๖๖ |
พ.ศ.๒๕๕๔ | ๓,๗๓๔ | ๗๗๒ | ๑๐๘ | ๒,๒๔๘ | ๗๕ | ๓๘ | ๑,๑๒๑ |
พ.ศ.๒๕๕๕ | ๔,๓๒๐ | ๗๖๓ | ๑๑๗ | ๒,๓๑๓ | – | – | ๓๔๕ |
พ.ศ.๒๕๕๖ | ๔,๗๒๕ | ๖๐๘ | ๑๓๑ | ๔,๕๕๑ | ๔๒ | ๑๐ | ๒๖๘ |
พ.ศ.๒๕๕๗ | ๕,๐๐๗ | ๖๙๔ | ๒๐๓ | ๔,๖๙๓ | ๕ | ๓๑ | ๑๕๙ |
พ.ศ.๒๕๕๘ | ๕,๙๙๓ | ๖๒๑ | ๑๓๒ | ๕,๕๖๒ | ๘ | ๗๕ | ๖๙ |
พ.ศ.๒๕๕๙ | ๕,๕๘๖ | ๗๔๐ | ๑๙๑ | ๕,๔๙๒ | ๘ | ๔๕ | ๓๘ |
พ.ศ.๒๕๖๐ | ๕,๑๘๐ | ๗๓๙ | – | ๕,๑๒๐ | ๔ | ๓๙ | ๒๘ |
พ.ศ.๒๕๖๑ | ๕,๒๑๑ | ๒๙๘ | ๓๗ | ๕,๐๙๑ | ๑ | ๖๑ | ๔๒ |
พ.ศ.๒๕๖๒ | ๔,๖๓๘ | ๑๖๖ | ๔๔ | ๔,๔๖๕ | ๓๑ | ๓๑ | |
พ.ศ.๒๕๖๓ | ๔,๕๗๙ | ๒๒๐ | ๕๓ | ๔,๔๓๑ | – | ๒๒ | ๖๔ |
พ.ศ. ๒๕๖๔ | ๓,๓๔๑ | ๒๕๗ | ๒๐ | ๓,๒๕๐ | – | ๑๙ | ๑๐๐ |
พ.ศ. ๒๕๖๕ | ๑,๓๐๙ | ๒๓๓ | ๑๖ | ๑,๑๕๖ | ๒๑ | ๑ | ๓๕ |
ข้อมูล ณ วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๕
ติดต่อหน่วยงาน
สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต
38/13 ถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
โทร. 076 213 699 โทรสาร. 076 213 694
E-mail : phuket@ago.go.th
Facebook : สำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต