“วันฉัตรมงคล” 4 พฤษภาคม 2567 เป็นวันครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่10 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทยโดยสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี
“วันฉัตรมงคล” [อ่านว่า ฉัด-ตฺระ-มง-คน, ฉัด-มง-คน] มีความหมายว่า “พระราชพิธีฉลองพระมหาเศวตฉัตร” เป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี
เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์
โดยเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ต่อจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และดำรงพระอิสริยยศเป็น “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว”
และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการ ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ว่า
“…เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป…
ดังนั้นรัฐบาลไทยและพสกนิกร จึงได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม จัดงานพระราชพิธีฉลองพระเศวตฉัตรหรือรัฐพิธีฉัตรมงคล หรืออาจเรียกว่าพระราชพิธีฉัตรมงคล ซึ่งกระทำในวันบรมราชาภิเษก ถวายเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
แหล่งข้อมูลบางส่วน : https://www.thansettakij.com/royal/523566
พระราชกรณียกิจในรัชกาลที่ 10
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์มาโดยตลอด ตั้งแต่ยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อแบ่งเบาพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้งในการพระราชพิธีสำคัญ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรไทย และพระราชพิธีทางศาสนาต่างๆ นอกจากนี้ได้โดยเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปแปรพระราชฐานประทับแรมตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยทรงติดตามความก้าวหน้าด้านการชลประทาน การสร้างเขื่อนต่างๆ และพระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานแก้ปัญหาตามที่ชาวบ้านกราบทูล ส่งให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์และช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝน ทางราชการทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ เมืองเพิร์ท รัฐออสเตรเลียตะวันตก ประเทศออสเตรเลีย
- ทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้าย บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่บริเวณ รอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ณ เขาล้าน จังหวัดตราด
- 9 ธันวาคม พ.ศ. 2518 ทรงเข้ารับราชการเป็นนายทหารประจำกรมข่าวทหารบกกระทรวงกลาโหม
- 6 ตุลาคม พ.ศ. 2521 ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับกองพันทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับกองพัน ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์
- 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการ กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
- 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
- 9 มกราคม พ.ศ. 2535 – ปัจจุบัน ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัย สำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปัจจุบันคือ หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ เป็นส่วนราชการในพระองค์
ด้านการบิน
- 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2537 ทรงปฏิบัติหน้าที่ครูการบินเครื่องบินขับไล่แบบเอฟ-5 อี/เอฟ
- พ.ศ. 2552 ทรงปฏิบัติหน้าที่นักบินที่ 1 เครื่องบินโบอิ้ง 737–400 ในเที่ยวบินสายใยรักแห่งครอบครัว ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และจัดหาอุปกรณ์ด้านการแพทย์ สำหรับโรงพยาบาลใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, (เที่ยวบินที่ ทีจี 8870 (กรุงเทพมหานครถึงจังหวัดเชียงใหม่) และเที่ยวบินที่ ทีจี 8871 (จังหวัดเชียงใหม่ถึงกรุงเทพมหานคร)
ด้านการทหาร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมที่ตั้งกองทหารหน่วยต่าง ๆ อยู่เสมอ จากการที่ได้ทรงศึกษาด้านวิชาทหารมานาน ทรงมีความรู้เชี่ยวชาญอย่างมาก และได้พระราชทานความรู้เหล่านั้นให้แก่ทหาร 3 เหล่าทัพ ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างแก่นายทหาร เอาพระทัยใส่ในความเป็นอยู่ทุกข์สุขของทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างทั่วถึง รวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนการศึกษาแก่บุตรของทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเทิดทูนและความจงรักภักดีแก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
ด้านการศึกษา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปลูกต้นปาริชาต ณ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พระองค์พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้อาคารของกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลชื่อว่า โรงเรียนอนุบาลทหารมหาดเล็กราชวัลลภ โดยในระยะแรกได้จัดการเรียนการสอนเฉพาะชั้นอนุบาล ต่อมา โรงเรียนได้ย้ายไปที่จังหวัดนนทบุรี และได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่า โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบเป็นค่าก่อสร้างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ตั้งอยู่ในชนบทห่างไกลคมนาคมไม่สะดวก กระทรวงศึกษาธิการ ได้สนองพระราชประสงค์ด้วยการน้อมเกล้าฯ ถวายโรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 6 โรงเรียน เป็นโรงเรียนในพระราชูปถัมภ์ ได้แก่ (1) โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 1 นครพนม, (2) โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 2 กำแพงเพชร, (3) โรงเรียนมัธยมพัชรกิติยาภา 3 สุราษฎร์ธานี, (4) โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 2 สงขลา, (5 )โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 3 ฉะเชิงเทรา และ (6) โรงเรียนมัธยมสิริวัณวรี 1 อุดรธานี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยาวชนในตำบลต่าง ๆ ทรงสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์เยาวชนตำบล รวมทั้งได้ทรงเป็นประธานงานวันเยาวชนแห่งชาติ วันที่ 20 กันยายน ของทุกปี และทรงเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนและสวนสนามของลูกเสือและเนตรนารี และสมาชิกผู้ทำประโยชน์ ทั้งนี้พระองค์ได้ทรงอุปการะเด็กกำพร้า คือ จักรกฤษณ์ และอนุเดช ชูศรี ที่ครอบครัวเสียชีวิตจากภูเขาถล่มเมื่อ พ.ศ. 2554 รวมทั้งครอบครัวของบูรฮาน และบุศรินทร์ หร่ายมณี ซึ่งบิดาถูกลอบสังหารจากเหตุความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจะทรงอุปการะจนกว่าจะสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีหรือจนกว่าจะมีอาชีพสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ เป็นต้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำริให้ดำเนินโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2552 ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาสแก่เยาวชนไทยที่มีฐานะยากจน ยากลำบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษา ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคงต่อเนื่องในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จนสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี ตามความสามารถของแต่ละคน เป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและศักยภาพแก่เยาวชนไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้ง มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทานสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร (ม.ท.ศ.) ขึ้น โดยทรงเป็นองค์ประธานกรรมการ และทรงให้นำโครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและยั่งยืนสืบต่อไป ปัจจุบันมีนักเรียนทุนพระราชทานฯ ในโครงการทั้งสิ้นจำนวน 9 รุ่น ซึ่งที่ผ่านมานักเรียนทุนพระราชทานทุกรุ่นเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มีอัตราสูงกว่าร้อยละ 97 โดยผู้ได้รับทุนพระราชทานไม่มีภาระผูกพันที่ต้องใช้ทุนคืน และเมื่อจบการศึกษา ทรงเปิดโอกาสให้สมัครเข้าถวายงานเป็นข้าราชบริพารในพระองค์ได้ตามความสมัครใจ
ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โปรดให้สร้างโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชขึ้น เพื่อให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช พระองค์มีพระราชปณิธานให้เอาใจใส่รักษาพยาบาลพสกนิกรของพระองค์ให้ปลอดภัยจากความเจ็บไข้โดยทั่วหน้าเสมอกัน
ด้านศาสนา
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรเมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงประเคนผ้าไตร ประกาศนียบัตร และพัดยศ ในการตั้งภิกษุและสามเณรเปรียญ เนื่องในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง พ.ศ. 2551 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงแสดงพระองค์เป็นพุทธมามกะที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2509 ก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ มีพระราชศรัทธาออกบวชในพระพุทธศาสนา โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดให้จัดการพระราชพิธีผนวช ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ปุณฺณโก) ถวายอนุสาสน์ ได้รับถวายพระสมณนามว่า “วชิราลงฺกรโณ” และได้ประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดจนทรงลาสิกขาในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2521 นอกจากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ยังเสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปปฏิบัติพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เช่น เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราชดำเนินแทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นวันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และการถวายผ้าพระกฐินหลวงตามวัดต่าง ๆ เป็นต้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้านศาสนาหลังจากเสด็จขึ้นทรงราชย์แล้ว คือ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559 ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงสมเด็จพระบรมชนกนาถ และโปรดเกล้าฯ สถาปนาอิสริยยศ และเลื่อนอิสริยฐานันดรพระสงฆ์ที่ดํารงอยู่ในสมณคุณ และมีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนาดังกล่าวสูงขึ้น เพื่อจักได้บริหารพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสถาพร ตามโบราณราชประเพณี รวมทั้งยังทรงสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ (อัมพร อมฺพโร) ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยได้เสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชด้วยพระองค์เองเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
ด้านการเกษตร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวาและวัชพืชอื่น ๆ เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อพระราชทานแก่เกษตรกร สำหรับนำไปใช้ในการเพาะปลูกเป็นการเพิ่มผลผลิต ที่บ้านแหลมสะแก ตำบลเดิมบาง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2528 นอกจากนี้ยังทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมกิจการด้านเกษตรกรรม เช่น เสด็จฯ แทนพระองค์ในการพระราชพิธีพืชมงคล
ด้านการต่างประเทศ
ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีป เช่น ประเทศอิตาลี สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐเปรู ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นอกจากจะมุ่งเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอดพระเนตรและศึกษากิจการต่างๆ ที่จะทรงนำประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาประเทศไทย เช่น เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร ศิลปวัฒนธรรม อุตสาหกรรมและความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โปรดให้ พลอากาศโท ภักดี แสงชูโต นำผ้าห่มกันหนาว 20,000 ผืน ไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮะกุ พ.ศ. 2554 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนายกษิต ภิรมย์ เป็นผู้รับมอบ
แหล่งข้อมูล : บางส่วนจากวิกิพีเดีย,หนังสือ 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ
by ThaiQuote, 25 กรกฎาคม 2561 https://www.thaiquote.org/content/210302#!
*************************************************************************************************************************************************************************************************
ภาพกิจกรรม
เกี่ยวกับสำนักงาน
ประวัติ
สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต
สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต เป็นหน่วยงานภายในสำนักงานอัยการสูงสุด และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานอัยการภาค ๘ ได้แยกออกมาจากสำนักงานอัยการจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2561 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน
อำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต
งานอำนวยความยุติธรรม
1. งานอำนวยความยุติธรรม มีอำนาจในการดำเนินคดีอาญาที่มีอัตราโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3๐,๐๐๐ บาท เช่น คดีขับรถประมาท บาดเจ็บสาหัสหรือได้รับอันตรายแก่กาย, คดีฉ้อโกง, คดียักยอก, คดีทำให้เสียทรัพย์
, คดีหมิ่นประมาท, คดีทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย,คดีความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค, คดีความผิดตาม
พระราชบัญญัติการพนัน, คดีความผิดลหุโทษ คือ ความผิดซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับ
ไม่เกิน 1,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับไม่เกินดังกล่าว
2. งานรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
2.1 รับว่าต่าง แก้ต่างคดีแพ่งที่มีทุนทรัพย์ราคาไม่เกิน 3๐๐,๐๐๐ บาท
2.2 รับแก้ต่างคดีอาญา ซึ่งเจ้าพนักงานของรัฐหรือราษฎร ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการกระทำตามหน้าที่
และถูกฟ้องคดีอันเนื่องมาจากปฏิบัติตามหน้าที่หรือช่วยเหลือเจ้าพนักงาน (ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง)
3. งานคุ้มครองสิทธิของประชาชน
3.1 ร้องขอให้ศาลปล่อยตัวจำเลยหรือผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
3.2 ร่วมชันสูตรพลิกศพผู้ซึ่งถึงแก่ความตายในระหว่างควบคุมของเจ้าพนักงาน หรืออันเนื่องมาจากการปฏิบัติการตามหน้าที่ของเจ้าพนักงาน (คดีวิสามัญฆาตกรรม)
3.3 ดำเนินคดีอุทลุมตามบทบัญญัติของกฎหมาย ห้ามมิให้ผู้สืบสันดาน (ลูกหลาน ฯลฯ) ดำเนินคดีกับบุพการี
(บิดา, มารดา, ปู่, ย่า, ตา, ยาย) กฎหมายจึงบัญญัติให้เป็นอำนาจของพนักงานอัยการเท่านั้นที่จำดำเนินการได้
เขตอำนาจรับผิดชอบ
สถานีตำรวจในความรับผิดชอบสำนวนการสอบสวนของสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต ดังต่อไปนี
สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต | สถานีตำรวจภูธรป่าตอง | สถานีตำรวจภูธรกะทู้ | สถานีตำรวจภูธรถลาง |
สถานีตำรวจภูธรท่าฉัตรไชย | สถานีตำรวจภูธรฉลอง | สถานีตำรวจภูธรวิชิต | สถานีตำรวจภูธรกะรน |
สถานีตำรวจภูธรเชิงทะเล | สถานีตำรวจภูธรกมลา | สถานีตำรวจภูธรสาคู |
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”
พันธกิจ (Missions)
1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงสร้าง (Structure)
วัฒนธรรมองค์กร
บุคลากร
ทำเนียบ
อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงภูเก็ต
ลำดับ | รายชื่ออัยการจังหวัด | ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง |
1 | ว่าที่ ร.ต. นราชัย พรธีระภัทร | 1 เมษายน 2561 – 31 มีนาคม 2562 |
2 | นายตะวัน สุขยิรัญ | 1 เมษายน 2562 – 31 มีนาคม 2563 |
3 | นายวิวัฒน์ กิจจารึก | 1 เมษายน 2563 – 31 มีนาคม 2564 |
4 | นายวิเชษฐ์ ศรีวิเศษ | 1 เมษายน 2564 – 31 มีนาคม 2565 |
5 | นางสาวปิยาภรณ์ พิสิฐพิทย์ | 1 เมษายน 2565 – 31 มีนาคม 2566 |
6 | นายศราวุธ สุขแก้ว | 1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2567 |
7 | นางสาวศิรินทร พัฒนาอิทธิกุล | 1 เมษายน 2567 – ปัจจุบัน |
ข้าราชการอัยการ
นางสาวศิรินทร พัฒนาอิทธิกุล
อัยการจังหวัดคดีศาลแขวงภูเก็ต
นายธีระศักดิ์ ศรีตุลารักษ์
อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
(ผู้กลั่นกรองงาน)
นายจักรกฤษ แก้วฉาง
อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด
(ผู้กลั่นกรองงาน)
พันตำรวจตรี อำพร มุสิกพันธ์
อัยการจังหวัดผู้ช่วย
นายวิกรม ดูวา
อัยการจังหวัดผู้ช่วย
นายธนบดี ณ นคร
อัยการจังหวัดผู้ช่วย
ข้าราชการธุรการ
จ้างเหมาบริการ
สถิติคดี
สถิติคดี สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต
พ.ศ. 2561 – พ.ศ. 2567
ลำดับที่ | ประเภทสำนวน | พ.ศ.2561 | พ.ศ.2562 | พ.ศ.2563 | พ.ศ.2564 | พ.ศ.2565 | พ.ศ.2566 | พ.ศ.2567 |
1 | ข้อมูล ส.1 สารบบรับความอาญา ปรากฎผู้ต้องหาที่ส่งตัวมา | 347 | 359 | 316 | 425 | 558 | 373 | 91 |
2 | ข้อมูล ส.1ฟ สำนวนฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด | 2 | 40 | 41 | 1933 | 47 | – | – |
3 | ข้อมูล ส.2 สารบบรับความอาญา ปรากฏผู้ต้องหาที่ไม่ได้ส่งตัวมา | 789 | 513 | 318 | 423 | 323 | 227 | 62 |
4 | ข้อมูล ส.2ก สารบบรับความอาญา ปรากฏผู้ต้องหาที่ไม่ได้ส่งตัวมา(เฉพาะคดีเปรียบเทียบ) | – | – | 150 | 97 | 41 | 45 | – |
5 | ข้อมูล ส.3 สารบบรับความอาญา ไม่ปรากฏผู้ต้องหา | 4 | 12 | 9 | 6 | 13 | 3 | 1 |
6 | ข้อมูล ส.4 สารบบฟ้องความอาญา | 234 | 234 | 241 | 328 | 397 | 329 | 81 |
7 | ข้อมูล ส.4 วาจา สารบบฟ้องความอาญาด้วยวาจา | 5,822 | 7,341 | 6,095 | 1,778 | 2,976 | 3,418 | 1,052 |
8 | ข้อมูล ส.5 ก สำนวนความแพ่ง | 43 | 78 | 86 | 81 | 49 | 67 | 12 |
รายละเอียดสถิติคดีแยกตามปี
เอกสารเผยแพร่
ติดต่อหน่วยงาน
สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต
เลขที่ 15/1 ซอยหัชนานิเวศน์ 1 ถนนอนุภาษภูเก็ตการ ตำบลตลาดใหญ่
อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000
โทรศัพท์ 0 7653 0505
โทรสาร 0 7653 0506
E-mail : phuket-sum@ago.go.th
Facebook : สำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต
Google maps สำหรับเปิดเพื่อเดินทางมายังสำนักงานอัยการคดีศาลแขวงภูเก็ต