ข่าวประชาสัมพันธ์
รูปภาพและกิจกรรม
เกี่ยวกับสำนักงาน
วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์
วิสัยทัศน์ (Vision)
“องค์กรนำในการใช้กฎหมาย เพื่อรักษาความยุติธรรมให้กับประชาชนและสังคม”
พันธกิจ (Missions)
1. ยกระดับคุณภาพมาตรฐานงานตามภารกิจ ด้านการอํานวยความยุติธรรม การรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและช่วยเหลือทาง กฎหมายแก่ประชาชนให้มีคุณภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา
2. พัฒนาความร่วมมือ บูรณาการเครือข่ายองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้านการพัฒนากระบวนการยุติธรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศ
3. เพิ่มศักยภาพมาตรฐานกลไกการบริหารจัดการระบบงานและกระบวนการทํางานที่สําคัญ รวมทั้งการพัฒนาระบบติดตามประเมินผลและระบบจัดการองค์ความรู้เพื่อมุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมโดยมีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นพื้นฐาน
4. พัฒนาองค์กรให้มีคุณภาพคู่คุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาล บุคลากรมีสมรรถนะสูง มีคุณธรรม จริยธรรม และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โครงสร้าง (Structure)
วัฒนธรรมองค์กร
อำนาจหน้าที่
สำนักงานคดีแรงงาน สำนักงานคดีแรงงานเขต และศาลแรงงาน
โดยที่คดีแรงงานเป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพ่งโดยทั่วไป รัฐจึงได้ตราพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ขึ้นเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานเป็นการเฉพาะและได้จัดตั้งศาลแรงงานกลางขึ้นเป็นแห่งแรก ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2553 โดยมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานตลอดกรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดปทุมธานี (ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 5)
เดิมยังไม่มีการจัดตั้งศาลแรงงานภาค หรือศาลแรงงานจังหวัดในส่วนภูมิภาค ตามบทเฉพาะกาลมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดไว้ว่า “ในระหว่างที่ศาลแรงงานภาคและศาลแรงงานจังหวัดยังมิได้เปิดทำการในท้องที่ใด ให้ศาลแรงงานกลางมีเขตอำนาจในท้องที่นั้นด้วย” ดังนั้น ศาลแรงงานกลางจึงมีเขตอำนาจทั่วราชอาณาจักร คดีเกี่ยวกับแรงงานที่เกิดขึ้นในส่วนภูมิภาค ไม่ว่าท้องที่จังหวัดใด จึงสามารถยื่นฟ้อง และดำเนินคดียังศาลในท้องที่ ๆ เกิดเหตุได้ โดยศาลแรงงานเกลางได้จัดตั้งศาลแรงงานกลางสาขาขึ้นมีเขตพื้นที่หลายจังหวัด และส่งผู้พิพากษาออกไปนั่งพิจารณาคดี ณ ศาลจังหวัดแห่งท้องที่นั้น ๆ
โดยที่พระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 6 บัญญัติไว้ว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลยุติธรรมชั้นต้นทุกศาล” ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดหรือกรมอัยการในขณะนั้น จึงได้จัดตั้งสำนักงานคดีแรงงานขึ้น โดยเฉพาะเพื่อให้มีพนักงานอัยการเป็นทนายแผ่นดินดำเนินคดีแรงงานในศาลแรงงาน เพื่อให้ได้พนักงานอัยการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการดำเนินคดีแรงงานไว้ประจำทำหน้าที่ต่อไป สำนักงานคดีแรงงาน สำนักงานอัยการสูงสุด ได้จัดตั้งขึ้น โดยพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมอัยการ พ.ศ.2546 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2526 เพื่อทำการว่าต่าง แก้ต่าง ให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรส่วนท้องถิ่น และแก้ต่างให้เจ้าพนักงานในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ องค์กรส่วนท้องถิ่น ซึ่งถูกฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลแรงงานกลาง ในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ ทั้งนี้เป็นอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 11 และพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง กรม พ.ศ.2545 มาตรา 46(9)
เขตอำนาจของสำนักงานคดีแรงงาน และสำนักงานคดีแรงงานเขต
ตามพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานอัยการสูงสุด ได้กำหนดให้สำนักงานคดีแรงงานมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินคดีทั้งปวง ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ตลอดจนปฏิบัติงานอื่นร่วมกันสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย เนื่องจากตามบทเฉพาะกาลมาตรา 60 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2552 กำหนดไว้ว่าในระหว่างที่ศาลแรงงานภาคและศาลแรงงานจังหวัดยังมิได้เปิดทำการในท้องที่ใด ให้ศาลแรงงานกลางมีเขตอำนาจในท้องที่นั่นด้วย ดังนั้นศาลแรงงานกลางจึงมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานทั่วราชอาณาจักร
ต่อมา สำนักงานอัยการสูงสุด มีนโยบายให้สำนักงานอัยการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินคดีแรงงานด้วย เนื่องจากอัยการจังหวัดประจำกรมฯ (อัยการจังหวัด สคช.) มีคนเดียว เมื่ออัยการจังหวัดประจำกรมฯ (อัยการจังหวัด สคช.) ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ เช่น เข้ารับการอบรม ก็จะไม่มีผู้ดำเนินคดีแทน อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่คดีได้ ประกอบกับสำนักงานอัยการสูงสุดประสบปัญหาขาดแคลนอัตรากำลัง เพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่ราชการและรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของรัฐ สำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งที่ 261/2545 ลงวันที่ 3 มิถุนายน 2545 ยกเลิกคำสั่งที่ 330/2544 มอบอำนาจให้อัยการจังหวัดและพนักงานอัยการในสำนักงานอัยการจังหวัดทุกคนมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีแรงงานด้วย
สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งแบ่งส่วนราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด (เพิ่มเติม)
ในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานคดีแรงงาน กล่าวคือ
คำสั่งที่ 590/2545 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2545 แบ่งส่วนราชการสำนักงานคดีแรงงานเพิ่มเติม คือ
(1) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาชลบุรี
(2) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาภูเก็ต
(3) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาสงขลา
(4) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาสมุทรปราการ
(5) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาธัญบุรี
(6) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาอุดรธานี
(7) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาเชียงใหม่
(8) สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาสมุทรสาคร
โดยในส่วนของสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาเชียงใหม่ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแรงงานสาขาเชียงใหม่ มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินคดีทั้งปวงตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการหรือสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานกลางสาขาเชียงใหม่ (เขตอำนาจเหนือพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงราย น่าน ลำพูน แพร่) คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องต่อไปนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8
1. คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
2. คดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
3. กรณีที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
4. คดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานหรือของ
คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
5. คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างหรือลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน
6. ข้อพิพาทแรงงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ปัจจุบันได้แก่กระทรวงแรงงาน ขอให้ศาลแรงงานชี้ขาดตามกฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์
แต่โดยปกติแล้วมักจะมีการโต้แย้งกันว่าเป็นการพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงานหรือไม่ เพราะถ้าไม่ใช่เป็นการจ้างแรงงาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเป็นการจ้างทำของหรือรับฝากทรัพย์ ก็ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน
คดีแรงงาน
คดีแรงงานที่จะกล่าวถึงในที่นี้ หมายถึงคดีแรงงานที่เป็นคดีแพ่ง คดีแรงงาน เป็นคดีที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากคดีแพ่งทั่วไป เนื่องจากคดีแรงงานเป็นคดีพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง เนื่องในการทำงานให้แก่นายจ้าง ทั้งสองฝ่ายจึงมีความสัมพันธ์และต้องปฏิบัติต่อกันตามกฎหมายพิเศษนอกเหนือไปจากกรณีที่ต้องปฏิบัติต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการจ้างแรงงาน โดยรัฐได้ออกกฎหมายสารบัญญัติคุ้มครองแรงงานหลายฉบับ และได้ออกพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 เพื่อพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 จึงจะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 กำหนดให้ศาลที่จะมีอำนาจพิจารณาคดีแรงงานไว้ 2 ชั้น คือ ศาลแรงงานชั้นต้นและศาลฎีกา
ศาลแรงงานชั้นต้น คือ ศาลแรงงานกลางตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ยังมีศาลแรงงานภาค 2 ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ศาลแรงงานภาค 4 ตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ศาลแรงงาน
ภาค 5 ตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ศาลแรงงานภาค 6 ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ศาลแรงงานภาค 8 ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ศาลแรงงานภาค 9 ตั้งอยู่ที่จังหวัดสงขลา และศาลแรงงานกลาง (สาขา) ตั้งอยู่ที่ศาลจังหวัดต่าง ๆ อีกหลายแห่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับคดีแรงงานให้ครอบคลุมทั่วราชอาณาจักร
ศาลแรงงานมีกระบวนวิธีพิจารณาเป็นการเฉพาะแตกต่างจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เช่น ในการนั่งพิจารณาพิพากษาคดีต้องมีผู้พิพากษาสมทบฝ่ายนายจ้างและผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างฝ่ายละเท่า ๆ กัน จึงจะเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีได้ (ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 11) ในการยื่นคำฟ้องตลอดจนดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในศาลแรงงานให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าฤชาธรรมเนียม (มาตรา 27) ศาลแรงงานจะพยายามไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงหรือประนีประนอมยอมความกัน โดยถือว่าคดีแรงงานมีลักษณะพิเศษอันควรระงับลงได้ด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันเพื่อที่ทั้งสองฝ่ายจะได้มีความสัมพันธ์กันต่อไป (มาตรา38) และเมื่อศาลแรงงานชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีใดแล้ว คู่ความฝ่ายใดไม่พอใจก็อาจอุทธรณ์คำพิพากษาคดีนั้นได้ แต่จะอุทธรณ์ได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น และต้องอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง (มาตรา 54) เป็นต้น
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานอัยการสูงสุดนั้น เนื่องจากพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ.2498 มาตรา 6 (ได้บัญญัติไว้ว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลยุติธรรมชั้นต้นทุกศาล”
(1) ในคดีอาญา มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและตามกฎหมายอื่น ซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงาน
(2) ในคดีแพ่ง มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีแทนรัฐบาลในศาลทั้งปวง กับมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ
(3) ในคดีแพ่งหรือคดีอาญา ซึ่งเจ้าพนักงานถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำไปตามหน้าที่ก็ดีหรือในคดีแพ่งหรืออาญาที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดถูกฟ้องในเรื่องการที่ได้กระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ซึ่งได้สั่งการโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเข้าร่วมกับเจ้าพนักงานกระทำการในหน้าที่ราชการก็ดี เมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการจะรับแก้ต่างก็ได้
(4) ในคดีแพ่งที่เทศบาลหรือสุขาภิบาลเป็นโจทก์หรือเป็นจำเลย ซึ่งมิใช่เป็นคดีพิพาทกับรัฐบาลเมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควรจะรับว่าต่างหรือแก้ต่างก็ได้
(5) ในคดีแพ่งที่นิติบุคคลซึ่งได้มีพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งขึ้นเป็นโจทก์หรือเป็นจำเลย และมิใช่เป็นคดีที่พิพาทกับรัฐบาล เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควรจะรับว่าต่างหรือแก้ต่างก็ได้
(6) ในคดีที่ราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดฟ้องเองไม่ได้ โดยกฎหมายห้ามเมื่อเห็นสมควรพนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่เป็นโจทก์ก็ได้
(7) ในคดีศาลชั้นต้นลงโทษบุคคลใดโดยลำพัง ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ปล่อยผู้นั้น เมื่อพนักงานอัยการเห็นสมควรจะฎีกาก็ได้
(8) ในกรณีที่มีการผิดสัญญาประกันจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินคดีในการบังคับให้เป็นไปตามสัญญานั้น และในการนี้มิให้เรียกค่าฤชาธรรมเนียมจากพนักงานอัยการ
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มาตรา 46 (9) บัญญัติให้สำนักงานอัยการสูงสุด มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาทั้งปวง ดำเนินคดีแพ่ง และให้คำปรึกษาด้านกฎหมายแก่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ และอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย”
ดังนั้น เมื่อมีการจัดตั้งศาลแรงงานกลางขึ้นพิจารณาพิพากษาคดีแรงงาน สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้จัดตั้งสำนักงานคดีแรงงานขึ้นในสำนักงานอัยการสูงสุด โดยมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีแรงงานในศาลแรงงานขึ้นในสำนักงานอัยการสูงสุด โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีแรงงานในศาลแรงงานกลางแทนรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ คือ กระกรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรส่วนท้องถิ่นและเจ้าพนักงานของรัฐหรือองค์กรส่วนท้องถิ่นที่จะฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีแรงงานในศาลแรงงาน
นโยบายและแผนบริหาร
หน่วยงานในสังกัด
การให้บริการ
บุคลากร
ทำเนียบผู้บริหาร
๑. นายสรรเพ็ชร์ สิงหเสนี | ๑๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐ |
๒. นางนิภา ยิ้มฉาย | ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ |
๓. นายวัฒนชัย คุ้มวงศ์ดี | ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ |
๔. นายพิชิต เจริญเกียรติกุล | ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ |
๕. นางสาวรจนา เหมะกรม | ๑ เมษายน ๒๕๕๕ – ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ |
๖. นายศานติ ประสาทกุล | ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ – ๓๐ กันยายน ๒๕๕๘ |
๗. นายวิโรจน์ อรุณโรจน์ | ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ |
๘. นายพินิจ ตันสถิรานันท์ | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ |
๙. นายชวลิต สุวรรณภูชัย | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ |
๑๐. นายอภิชาติ พลอยแก้ว | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓ |
๑๑. นายอานันท์ ธีระชิต | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ |
๑๒. นายจิระประวัติ แบบประเสริฐ | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๔ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๕ |
๑๓. นายจำนอง ปานทอง | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๖ |
๑๔. นางวิจิตรา อิศโร | ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ |
ข้าราชการอัยการ
สำนักงานคดีแรงงานภาค 5
ข้าราชการธุรการ และบุคลากร
สำนักอำนวยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค ๕
หนังสือเวียนของสำนักงานคดีแรงงานภาค 5
เลขที่หนังสือเวียน | วันที่ | เรื่อง |
อส 0038(5)/ว 1 | 4 มกราคม 2561 | การจัดเก็บข้อมูลผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
อส 0038(5)/ว 2 | 13 มีนาคม 2561 | กำชับการปฏับิติตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีแพ่งของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2560 |
อส 0038(5)/ว 4 | 15 มิถุนายน 2561 | การหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 5 | 5 กรกฏาคม 2561 | การจัดเก็บข้อมูลผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
อส 0038(5)/ว 6 | 20 กรกฏาคม 2561 | การจัดส่งแบบรายงานบัญชีสำนวนเสร็จ, บัญชีสำนวนค้าง, บัญชีแสดงการที่ทำของพนักงานอัยการคดีแพ่ง ฯ |
อส 0038(5)/ว 7 | 20 กันยายน 2561 | การจัดส่งแบบรายงาน บัญชีสำนวนเสร็จ บัญชีสำนวนค้าง และบัญชีแสดงการที่ทำของพนักงานอัยการคดีแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 8 | 2 ตุลาคม 2561 | ขอสถิติปริมาณคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม |
อส 0038(5)/ว 9 | 17 ตุลาคม 2561 | จัดสรรค่าทนายความ |
เลขที่หนังสือเวียน | วันที่ | เรื่อง |
อส 0038(5)/ว 2 | 25 กุมภาพันธ์ 2562 | ให้พนักงานอัยการที่ได้รับคำสั่งโยกย้ายดำเนินการหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 3 | 15 มีนาคม 2562 | การจัดเก็บข้อมูลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
อส 0038(5)/ว 5 | 26 กันยายน 2562 | การจัดเก็บข้อมูลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
อส 0038(5)/ว 6 | 25 ธันวาคม 2562 | การจัดเก็บข้อมูลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
เลขที่หนังสือเวียน | วันที่ | เรื่อง |
อส 0038(5)/ว 2 | 27 มีนาคม 2563 | การจัดเก็บข้อมูลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุด |
อส 0038(5)/ว 3 | 9 เมษายน 2563 | ขอให้ตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินคดีแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 4 | 27 เมษายน 2563 | การายงานการรับเรื่องคดีแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 5 | 27 พฤษภาคม 2563 | ให้พนักงานอัยการที่ได้รับคำสั่งโยกย้ายดำเนินการหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 6 | 28 สิงหาคม 2563 | แนวทางพิจารณาคดีแพ่ง กรณีการเรียกให้เจ้าหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความรับผิดทางละเมิด |
อส 0038(5)/ว 8 | 30 ตุลาคม 2563 | การหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0035(5)/ว 9 | 11 พฤศจิกายน 2563 | ข้อพิจารณาของพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 ที่มีความเห็นแตกต่างกับมติคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค |
อส 0038(อก 5)/ว 12 | 30 ธันวามคม 2563 | การจัดตั้งศูนย์เสริมสร้างศักยภาพการดำเนินคดีแพ่งภาค 5 |
อส 0038(5)/ว 13 | 30 ธันวาคม 2563 | คำชั้ขาดปัญหาโตเแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาดำเนินการระหว่างสำนักงาน (กรณีการฟ้องเรียกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคืน) |
เลขที่หนังสือเวียน | วันที่ | เรื่อง |
อส 0038(5)/ว 2 | 13 มกราคม 2564 | ข้อพิจารณาของพนักงานอัยการในฐานะเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 ที่มีความเห็นแตกต่างกับมติของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (เพิ่มเติม) |
อส 0038(5)/ว 4 | 19 มีนาคม 2564 | ให้พนักงานอัยการที่ได้รับคำสั่งโยกย้ายดำเนินการหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0038(5)/ว 5 | 2 สิงหาคม 2564 | การพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ที่ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค |
อส 0038(5)/ว 6 | 11 สิงหาคม 2564 | จัดส่งข้อมูลประกอบการตรวจราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 |
อส 0037(อก 5)/ว 7 | 7 ตุลาคม 2564 | การจัดตั้งศูนย์เสริมสร้างศักยภาพการดำเนินการคดีแพ่งภาค 5 |
อส 0037(5)/ว 8 | 15 ตุลาคม 2564 | การรายงานรับเรื่องคดีแพ่ง |
เลขที่หนังสือเวียน | วันที่ | เรื่อง |
อส 0037(5)/ว 1 | 8 มีนาคม 2565 | ให้พนักงานอัยการที่ได้รับคำสั่งโยกย้ายดำเนินการหักล้างเงินยืมค่าธรรมเนียมความแพ่ง |
อส 0037(5)/ว 2 | 5 พฤษภาคม 2565 | กำชับการรายงานการรับเรื่องคดีแพ่ง |
อส 0037(5)/ว 3 | 24 พฤษภาคม 2565 | รายงานผลการตรวจราชการในส่วนของคดีแพ่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 |
อส 0038(อก 5)/ว 4 | 7 ตุลาคม 2565 | การจัดตั้งศูนย์เสริมสร้างศักยภาพการดำเนินคดีแพ่งภาค 5 |
ดาวน์โหลดเอกสารคดีแพ่ง
เตรียมความพร้อม ป้องกัน เฝ้าระวังสถานการณ์
แพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)
สำนักงานคดีแรงงานภาค 5 เตรียมความพร้อม ป้องกัน เฝ้าระวังสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)
ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ สวมหน้ากากอนามัย และจัดเตรียม
เจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ เพื่อให้บริการแก่ผู้มาติดต่อราชการ
และบุคลากร ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 3 อาคารสำนักงานคดีปกครองเชียงใหม่ สำนักงานดคีแรงงานภาค 5
Email ago.go.th Email gov dga Line @oagth Page Facebook Youtube Channel
สำนักงานคดีแรงงานภาค 5
เลขที่ 559 อาคารสำนักงานคดีปกครองเชียงใหม่ ชั้น 3
ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ถนนโชตนา ตำบลช้างเผือก
อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50300
โทรศัพท์ 0-5311-2890 โทรสาร 0-5311-2891 E-mail : cm-labor@ago.go.th